วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ปราสาทโอซาก้าโจ
1. ปราสาทโอซาก้าโจ (Osaka-jo) เป็นจุดที่มีผู้ไปเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง โดยเดินไปตามบาทวิถีจนถึงปลายเกาะนาคาโนะชิมะด้านตะวันออก แล้วเดินไปทางเหนือข้ามสะพานเท็นจินบาชิ (Tenjin-bashi) ตรงป้อมตำรวจ แล้วเดินขึ้นไปทางเหนืออีกจะพบ ศาลเจ้าเท็มมังงุจิงงุ (Tenmangu Jingu) ซึ่งสร้างถวายเทพแห่งความรู้ เมื่อเดินตามบาทวิถีริมแม่น้ำราวหนึ่งกิโลเมตร ก็จะถึงโรงกษาปณ์โอซาก้า (Osaka mint) และพิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณ์ จากนั้นข้ามสะพานคาวาซากิบาชิ (Kawasaki-bashi) ไปยังปราสาทโอซาก้าโจที่อยู่ข้างหน้า ปราสาทแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับโอซาก้าในกาลข้างหน้า หอคอยปราสาทผงาดเหนืออุทยานกว้างและกำแพงหิน เป็นการจำลองแบบจากของเดิมที่สร้างโดย โตโยะโตมิ ฮิเดโยชิ เมื่อปี 1585 ปราสาทมหึมาหลังนี้สร้างเสร็จโดยใช้เวลาสามปี โดยระดมคนจำนวนหลายหมื่นมาก่อสร้าง
มิยาจิมะ กุจิ
มิยาจิมะ กุจิ เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองนี้ ลักษณะเป็นเกาะตั้งอยู่ใกล้กับชายฝั่ง
การเดินทาง หากท่านไม่ได้มากับทัวร์ ท่านก็สามารถเดินทางมาเองได้อย่างสะดวกโดยใช้บริการรถรางไฟฟ้าหรือ Street car สายสีแดง(สาย2)ซึ่งวิ่งจากสถานีรถไฟฮิโรชิม่าและสุดปลายทางที่สถานีมิยาจิมะ กุจิ (รถไฟออกทุกๆ 7นาทีใช้เวลาเดินทาง 63นาที) จากนั้นก็นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากต่อไปยังเกาะใช้เวลาประมาณ 7นาที
โดยใช้ตั๋ว 1 day Trip card ซึ่งเป็นตั๋วเหมาจ่ายทั้งค่ารถไฟและค่าเรือเฟอร์รี่ทั้งขาไปและขากลับ ราคาก็อยู่ที่ 840 เยน นอกจากนั้นยังใช้ไปสถานที่อื่นๆได้ตลอดทั้งวัน
พื้นที่บริเวณโดยรอบของเกาะประกอบด้วยสถานที่สำคัญทางศาสนา ศาลเจ้า พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ(Aquarium) สวนป่าธรรมชาติ ร้านอาหาร และร้านขายของฝาก+ของที่ระลึก กระเช้าไฟฟ้าขึ้นยอดเขาเพื่อชมทัศนียภาพของเมือง และอีกสิ่งหนึ่งที่หาดูได้ยากคือกวางที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆหมู่บ้านบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งมีจำนวนมากเหมือนกับเป็นสัตว์เลียงเช่นสุนัขหรือแมวในบ้านเรา เรียกว่าใครที่ชอบอาหารป่าเห็นแล้วคงต้องคิดมากแน่ๆ นอกจากนั้นยังมีเมนูเด็ดที่มีหอยนางรมตัวโตๆเป็นส่วนประกอบ ซึ่งถือเป็นอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อสำหรับผู้มาเยือนที่ชื่นชอบหอยนางรมได้ลิ้มรสกันอีกด้วย ( จากข้อมูลการท่องเที่ยวได้อธิบายว่าหอยนางรมทั้งหมดที่ขายในประเทศญี่ปุ่น 60% เป็นหอยนางรมที่เป็นผลิตผลของเมืองฮิโรชิม่า)
การเดินทาง หากท่านไม่ได้มากับทัวร์ ท่านก็สามารถเดินทางมาเองได้อย่างสะดวกโดยใช้บริการรถรางไฟฟ้าหรือ Street car สายสีแดง(สาย2)ซึ่งวิ่งจากสถานีรถไฟฮิโรชิม่าและสุดปลายทางที่สถานีมิยาจิมะ กุจิ (รถไฟออกทุกๆ 7นาทีใช้เวลาเดินทาง 63นาที) จากนั้นก็นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากต่อไปยังเกาะใช้เวลาประมาณ 7นาที
โดยใช้ตั๋ว 1 day Trip card ซึ่งเป็นตั๋วเหมาจ่ายทั้งค่ารถไฟและค่าเรือเฟอร์รี่ทั้งขาไปและขากลับ ราคาก็อยู่ที่ 840 เยน นอกจากนั้นยังใช้ไปสถานที่อื่นๆได้ตลอดทั้งวัน
พื้นที่บริเวณโดยรอบของเกาะประกอบด้วยสถานที่สำคัญทางศาสนา ศาลเจ้า พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ(Aquarium) สวนป่าธรรมชาติ ร้านอาหาร และร้านขายของฝาก+ของที่ระลึก กระเช้าไฟฟ้าขึ้นยอดเขาเพื่อชมทัศนียภาพของเมือง และอีกสิ่งหนึ่งที่หาดูได้ยากคือกวางที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆหมู่บ้านบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งมีจำนวนมากเหมือนกับเป็นสัตว์เลียงเช่นสุนัขหรือแมวในบ้านเรา เรียกว่าใครที่ชอบอาหารป่าเห็นแล้วคงต้องคิดมากแน่ๆ นอกจากนั้นยังมีเมนูเด็ดที่มีหอยนางรมตัวโตๆเป็นส่วนประกอบ ซึ่งถือเป็นอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อสำหรับผู้มาเยือนที่ชื่นชอบหอยนางรมได้ลิ้มรสกันอีกด้วย ( จากข้อมูลการท่องเที่ยวได้อธิบายว่าหอยนางรมทั้งหมดที่ขายในประเทศญี่ปุ่น 60% เป็นหอยนางรมที่เป็นผลิตผลของเมืองฮิโรชิม่า)
เมืองซับโปโร
เมืองซับโปโร
ซัปโปโรเป็นเมืองหลวงของเกาะฮ็อกไกโด ใช้เวลาเดินทางจากกรุงโตเกียวโดยเครื่องบิน 1 ชั่วโมง 25 นาที เป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เปรียบเสมือนประตูสู่เกาะฮ็อกไกโด ผังเมืองของซัปโปโรค่อนข้างเป็นระเบียบเหมือนตารางหมากรุกซึ่งรูปแบบจะคล้ายกับเกียวโต เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น หัวใจหลักของเมืองนี้อยู่ที่สวนโอโดริ (Odori Park) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองทอดตัวจากด้านตะวันออกไปจรดฝั่งตะวันตกของตัวเมือง สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ถนนสายหลักในตัวเมืองจะเรียงรายไปด้วยน้ำพุและสวนโอโดริ (Odori Koen) ซึ่งถนนสายหลักนี้จะเป็นที่จัดงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียงของซัปโปโระ ในงานจะมีการแสดงรูปปั้นหิมะและรูปแกะสลักน้ำแข็งของทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นตั้งตระหง่านอยู่ ทางเหนือของโอโดริโคเอ็นเพียงไม่กี่ช่วงตึกเป็นสถานีรถไฟซัปโปโระ และตรงจุดนี้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นมหาวิทยาลัยฮ็อกไกโด ทางใต้จะเข้าสู่ทานูกิโคจิ (Tanuki-Koji) แหล่งรวมร้านค้าและร้านอาหาร และใกล้ๆกันจะพบกับตลาดนิโจซึ่งเป็นที่รวมของฝากของที่ระลึก สินค้าเครื่องใช้ในท้องถิ่นและอาหารมากมายให้ได้ลิ้มลองกัน ทางใต้สุดของโอโดริโคเอ็นคือย่านซุซุคิโนะ (Susukino) แหล่งท่องเที่ยว(ผีเสื้อ)ราตรีและศูนย์กลางของอาหารจานด่วนแบบซัปโปโระ เรียกว่า ราเม็ง โยโคะโจ (Ramen Yokocho) อยากทราบว่าเป็นอย่างไรคงต้องหาโอกาสไปชิมกันนะคะ
หอนาฬิกา (Clock Tower Building) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซัปโปโร สร้างขึ้นในปี 1878 โดยมหาวิทยาลัยฮ็อกไกโด ตึกแห่งนี้ยังเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ให้กับผู้มาเยือน ทุกชั่วโมงเสียงระฆังยังคงตีกังวาลบ่งบอกความมีชีวิตชีวาของเมืองนี้ หลังจากแวะชมสัญญลักษณ์ของเมืองไปแล้ว ลองแวะไปชมทัศนียภาพของทั้งเมืองที่ Mt. Moiwa เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปปิคนิคกัน ด้วยความสูง 531 เมตรจากพื้นดินทำให้เห็นบรรยากาศของทั้งเมืองจากมุมสูง เดินทางขึ้นไปด้วยเคเบิ้ลคาร์เพียง 5 นาที ที่สุดท้ายที่จะแนะนำกันก็คือ ซัปโปโรโดม (Sapporo Dome) เป็นอาคารเอนกประสงค์ และสนามกีฬาที่เคยใช้จัดการแข่งขันฟุตบอล FIFA World Cup ภายในยังมีลานกีฬาอีกหลายประเภทไว้บริการ และมีร้านค้าขายของให้ช้อปกันอีกด้วย
ซัปโปโรเป็นเมืองหลวงของเกาะฮ็อกไกโด ใช้เวลาเดินทางจากกรุงโตเกียวโดยเครื่องบิน 1 ชั่วโมง 25 นาที เป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เปรียบเสมือนประตูสู่เกาะฮ็อกไกโด ผังเมืองของซัปโปโรค่อนข้างเป็นระเบียบเหมือนตารางหมากรุกซึ่งรูปแบบจะคล้ายกับเกียวโต เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น หัวใจหลักของเมืองนี้อยู่ที่สวนโอโดริ (Odori Park) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองทอดตัวจากด้านตะวันออกไปจรดฝั่งตะวันตกของตัวเมือง สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ถนนสายหลักในตัวเมืองจะเรียงรายไปด้วยน้ำพุและสวนโอโดริ (Odori Koen) ซึ่งถนนสายหลักนี้จะเป็นที่จัดงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียงของซัปโปโระ ในงานจะมีการแสดงรูปปั้นหิมะและรูปแกะสลักน้ำแข็งของทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นตั้งตระหง่านอยู่ ทางเหนือของโอโดริโคเอ็นเพียงไม่กี่ช่วงตึกเป็นสถานีรถไฟซัปโปโระ และตรงจุดนี้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นมหาวิทยาลัยฮ็อกไกโด ทางใต้จะเข้าสู่ทานูกิโคจิ (Tanuki-Koji) แหล่งรวมร้านค้าและร้านอาหาร และใกล้ๆกันจะพบกับตลาดนิโจซึ่งเป็นที่รวมของฝากของที่ระลึก สินค้าเครื่องใช้ในท้องถิ่นและอาหารมากมายให้ได้ลิ้มลองกัน ทางใต้สุดของโอโดริโคเอ็นคือย่านซุซุคิโนะ (Susukino) แหล่งท่องเที่ยว(ผีเสื้อ)ราตรีและศูนย์กลางของอาหารจานด่วนแบบซัปโปโระ เรียกว่า ราเม็ง โยโคะโจ (Ramen Yokocho) อยากทราบว่าเป็นอย่างไรคงต้องหาโอกาสไปชิมกันนะคะ
หอนาฬิกา (Clock Tower Building) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซัปโปโร สร้างขึ้นในปี 1878 โดยมหาวิทยาลัยฮ็อกไกโด ตึกแห่งนี้ยังเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ให้กับผู้มาเยือน ทุกชั่วโมงเสียงระฆังยังคงตีกังวาลบ่งบอกความมีชีวิตชีวาของเมืองนี้ หลังจากแวะชมสัญญลักษณ์ของเมืองไปแล้ว ลองแวะไปชมทัศนียภาพของทั้งเมืองที่ Mt. Moiwa เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปปิคนิคกัน ด้วยความสูง 531 เมตรจากพื้นดินทำให้เห็นบรรยากาศของทั้งเมืองจากมุมสูง เดินทางขึ้นไปด้วยเคเบิ้ลคาร์เพียง 5 นาที ที่สุดท้ายที่จะแนะนำกันก็คือ ซัปโปโรโดม (Sapporo Dome) เป็นอาคารเอนกประสงค์ และสนามกีฬาที่เคยใช้จัดการแข่งขันฟุตบอล FIFA World Cup ภายในยังมีลานกีฬาอีกหลายประเภทไว้บริการ และมีร้านค้าขายของให้ช้อปกันอีกด้วย
วัดโฮริว
วัดโฮริว (「法隆寺」, Hōryū-ji, 法隆寺?) เป็นวัดพุทธในเมืองอิคารุงะ จังหวัดนะระ ประเทศญี่ปุ่น มีชื่อเต็มว่า Hōryū Gakumonji หรือ Learning Temple of the Flourishing Law มีที่มาจากการที่วัดนี้ได้เปิดให้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาเช่นเดียวกับที่เป็นอารามสงฆ์ เป็นที่ยอมรับกันว่าวัดนี้มีอาคารไม้หลายหลังที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ในโลก แม้ว่าจะยังมีวัดอื่นที่เก่าแก่กว่าและมีความสำคัญมากกว่า แต่วัดโฮริวก็ยังคงเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2536 วัดโฮริวได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยกย่องให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น
แรกเริ่มวัดนี้สร้างขึ้นตามพระบัญชาของเจ้าชายโชโตกุ เพื่อสักการะบูชาพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา ยาคุชิ เนียวไร (Yakushi Nyorai) และเพื่อเทิดพระเกียรติพระราชบิดาของเจ้าชาย สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 607 เพื่ออุทิศ จากการขุดสำรวจบริเวณวัดในปัจจุบัน ทำให้ทราบว่าวังของเจ้าชายโชโตกุตั้งอยู่ในส่วนตะวันออกของบริเวณที่วัดตั้งอยู่ในทุกวันนี้ และขุดค้นพบซากวัดที่อยู่ทางใต้ของวังของเจ้าชาย และไม่ได้อยู่ในบริเวณวัดในปัจจุบัน วัดโฮริวเคยถูกฟ้าผ่าและเกิดเพลิงไหม้ในปี 670 ทำให้ตั้งแต่ปี 670-700 ต้องมีการสร้างวัดขึ้นใหม่ในลักษณะเดิม แต่ย้ายตำแหน่งขึ้นไปตามทางตะวันตกเฉียงเหนือจากตำแหน่งเดิม และได้มีการบูรณะและต่อเติมบริเวณวัดขึ้นอีกในปี พ.ศ. 1917 และ พ.ศ. 2146 ปัจจุบันบริเวณวัดในปัจจุบันแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนไซอินหรือตะวันตก และส่วนโทอินหรือตะวันออก ส่วนตะวันตกเป็นที่ตั้งของหอคอนโด (หอทองคำ) และเจดีย์ห้าชั้น ส่วนตะวันออกมีหอยูเมะโดโนะรูปทรงแปดเหลี่ยม (หอนิมิต) ตั้งอยู่ห่างจากส่วนตะวันตกไปทางทิศตะวันออก 122 เมตร ในบริเวณวัดยังมีกุฏิสงฆ์ หอประชุม ห้องสมุด และโรงอาหาร
ขณะที่วัดในญี่ปุ่นในยุคแรกๆจะออกแบบอาคารให้เรียงตัวกันตามต้นแบบจากจีนและเกาหลี แต่วัดโฮริวไม่ได้เรียงตามต้นแบบนั้น โดยหอคอนโดจะอยู่ข้างเจดีย์ ซึ่งที่มาจากการสร้างวัดขึ้นใหม่หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ในปี 670 พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาที่ประดิษฐานอยู่ก่อนถูกเพลิงไหม้ยังคงรอดปลอดภัยมาได้ ระหว่างการสร้างวัดขึ้นใหม่ได้มีการอาราธนาพระพุทธรูปศากยมุนีมาประดิษฐานที่วัด เนื่องจากผู้สร้างวัดต้องการยกย่องเชิดชูเกียรติแด่พระพุทธรูปทั้งสองอย่างเท่าเที่ยมกัน จึงออกแบบให้หอคอนโดและเจดีย์ตั้งอยู่เคียงข้างกันเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
สถาปัตยกรรมขอวัดโฮริวได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรแพ็กเจแห่งคาบสมุทรเกาหลีเป็นอย่างมาก เป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น มีหลักฐานบ่งชี้ว่าสถาปนิก ช่างแกะสลัก และช่างฝีมือชาวแพ็กเจได้มีส่วนช่วยในการสร้างวัดโฮริว เนื่องจากญี่ปุ่นในยุคนั้นยังขาดแคลนแรงงานมีฝีมือที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ ตามบันทึกของซัมกุ๊ก ซางิ เชื้อพระวงศ์ผู้ปกครองแพ็กเจ ได้กล่าวไว้ว่า พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาถูกสร้างขึ้นโดยช่างแกะสลักชาวแพ็กเจตามพระบัญชาของเจ้าชายโชโตกุ ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยรักษาอาการประชวรของพระราชบิดาได้ แต่พระราชบิดาของพระองค์ก็เสด็จสวรรคตไปก่อนที่วัดจะสร้างเสร็จสมบูรณ์
เจดีย์ห้าชั้นในบริเวณวัดสูง 32.45 เมตร ถือกันว่าเป็นหนึ่งในสองอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายกับจีนและเกาหลี สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 700 แท่นรองฐานและราวลูกกรงของเจดีย์มีลักษณะเช่นเดียวกับในหอคอนโดแทบทุกประการ มีบันทึกกล่าวไว้ว่าใต้พื้นของเจดีย์มีหีบสมบัติฝังอยู่ โดยหินก้อนใหญ่ที่สร้างเป็นฐานเจดีย์ถูกฝังลึกลงไปใต้ดิน 3 เมตร และมีโพรงสำหรับใส่หีบไว้ แต่เนื่องด้วยน้ำหนักของเจดีย์ ทำให้ไม่สามารถขุดค้นลงไปถึงหีบสมบัติได้ เป็นที่เชื่อกันว่าเจ้าชายโชโตกุพำนักอยู่ในหอนี้เพื่อศึกษาพระไตรปิฎก หอที่เห็นปัจจุบันสร้างขึ้นในปี 739 และได้รับการบูรณะในศตวรรษที่ 9 หอยูเมะโดโนะนี้เป็นที่ประดิษฐานพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ซึ่งจะเปิดให้นมัสการเพียงปีละหนึ่งคร
แรกเริ่มวัดนี้สร้างขึ้นตามพระบัญชาของเจ้าชายโชโตกุ เพื่อสักการะบูชาพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา ยาคุชิ เนียวไร (Yakushi Nyorai) และเพื่อเทิดพระเกียรติพระราชบิดาของเจ้าชาย สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 607 เพื่ออุทิศ จากการขุดสำรวจบริเวณวัดในปัจจุบัน ทำให้ทราบว่าวังของเจ้าชายโชโตกุตั้งอยู่ในส่วนตะวันออกของบริเวณที่วัดตั้งอยู่ในทุกวันนี้ และขุดค้นพบซากวัดที่อยู่ทางใต้ของวังของเจ้าชาย และไม่ได้อยู่ในบริเวณวัดในปัจจุบัน วัดโฮริวเคยถูกฟ้าผ่าและเกิดเพลิงไหม้ในปี 670 ทำให้ตั้งแต่ปี 670-700 ต้องมีการสร้างวัดขึ้นใหม่ในลักษณะเดิม แต่ย้ายตำแหน่งขึ้นไปตามทางตะวันตกเฉียงเหนือจากตำแหน่งเดิม และได้มีการบูรณะและต่อเติมบริเวณวัดขึ้นอีกในปี พ.ศ. 1917 และ พ.ศ. 2146 ปัจจุบันบริเวณวัดในปัจจุบันแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนไซอินหรือตะวันตก และส่วนโทอินหรือตะวันออก ส่วนตะวันตกเป็นที่ตั้งของหอคอนโด (หอทองคำ) และเจดีย์ห้าชั้น ส่วนตะวันออกมีหอยูเมะโดโนะรูปทรงแปดเหลี่ยม (หอนิมิต) ตั้งอยู่ห่างจากส่วนตะวันตกไปทางทิศตะวันออก 122 เมตร ในบริเวณวัดยังมีกุฏิสงฆ์ หอประชุม ห้องสมุด และโรงอาหาร
ขณะที่วัดในญี่ปุ่นในยุคแรกๆจะออกแบบอาคารให้เรียงตัวกันตามต้นแบบจากจีนและเกาหลี แต่วัดโฮริวไม่ได้เรียงตามต้นแบบนั้น โดยหอคอนโดจะอยู่ข้างเจดีย์ ซึ่งที่มาจากการสร้างวัดขึ้นใหม่หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ในปี 670 พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาที่ประดิษฐานอยู่ก่อนถูกเพลิงไหม้ยังคงรอดปลอดภัยมาได้ ระหว่างการสร้างวัดขึ้นใหม่ได้มีการอาราธนาพระพุทธรูปศากยมุนีมาประดิษฐานที่วัด เนื่องจากผู้สร้างวัดต้องการยกย่องเชิดชูเกียรติแด่พระพุทธรูปทั้งสองอย่างเท่าเที่ยมกัน จึงออกแบบให้หอคอนโดและเจดีย์ตั้งอยู่เคียงข้างกันเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
สถาปัตยกรรมขอวัดโฮริวได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรแพ็กเจแห่งคาบสมุทรเกาหลีเป็นอย่างมาก เป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น มีหลักฐานบ่งชี้ว่าสถาปนิก ช่างแกะสลัก และช่างฝีมือชาวแพ็กเจได้มีส่วนช่วยในการสร้างวัดโฮริว เนื่องจากญี่ปุ่นในยุคนั้นยังขาดแคลนแรงงานมีฝีมือที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ ตามบันทึกของซัมกุ๊ก ซางิ เชื้อพระวงศ์ผู้ปกครองแพ็กเจ ได้กล่าวไว้ว่า พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาถูกสร้างขึ้นโดยช่างแกะสลักชาวแพ็กเจตามพระบัญชาของเจ้าชายโชโตกุ ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยรักษาอาการประชวรของพระราชบิดาได้ แต่พระราชบิดาของพระองค์ก็เสด็จสวรรคตไปก่อนที่วัดจะสร้างเสร็จสมบูรณ์
เจดีย์ห้าชั้นในบริเวณวัดสูง 32.45 เมตร ถือกันว่าเป็นหนึ่งในสองอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายกับจีนและเกาหลี สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 700 แท่นรองฐานและราวลูกกรงของเจดีย์มีลักษณะเช่นเดียวกับในหอคอนโดแทบทุกประการ มีบันทึกกล่าวไว้ว่าใต้พื้นของเจดีย์มีหีบสมบัติฝังอยู่ โดยหินก้อนใหญ่ที่สร้างเป็นฐานเจดีย์ถูกฝังลึกลงไปใต้ดิน 3 เมตร และมีโพรงสำหรับใส่หีบไว้ แต่เนื่องด้วยน้ำหนักของเจดีย์ ทำให้ไม่สามารถขุดค้นลงไปถึงหีบสมบัติได้ เป็นที่เชื่อกันว่าเจ้าชายโชโตกุพำนักอยู่ในหอนี้เพื่อศึกษาพระไตรปิฎก หอที่เห็นปัจจุบันสร้างขึ้นในปี 739 และได้รับการบูรณะในศตวรรษที่ 9 หอยูเมะโดโนะนี้เป็นที่ประดิษฐานพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ซึ่งจะเปิดให้นมัสการเพียงปีละหนึ่งคร
ภูเขาฟูจิ
ภูเขาฟูจิ (「富士山」, Fuji-san, – ฟุจิซัง?) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซึโอะกะ และจังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดโตเกียว โดยในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองเห็นจากโตเกียวได้ ในปัจจุบันภูเขาได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ โดยภูเขาไฟระเบิดครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ใน ยุคเอโดะ ภูเขาฟูจิ มีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า "ฟุจิซัง" ซึ่งในหนังสือในสมัยก่อนจะถูกเข้าใจผิดเรียกว่า ฟุจิยะมะ (ฟูจิยาม่า) เนื่องจากตัวอักษรคันจิตัวที่ 3 (山) ที่สามารถอ่านได้สองแบบ ทั้ง ยะมะ และ ซัง
ประวัติ
เชื่อว่ามีผู้ปีนเขาฟูจิ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึงยุคเมจิ ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบันภูเขาฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ภูเขาฟูจิได้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นได้จากในงานเขียนหรือภาพวาดต่างๆ โดยเฉพาะภาพวาดของ โฮะกุไซ ที่มีให้เห็นในวรรณกรรมญี่ปุ่นและกาพย์กลอนที่สำคัญมากมาย ภูเขาฟูจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรต่างๆมากมายจากยุคอดีต เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่บริเวณตีนเขา ปัจจุบันภูเขาไฟฟูจิสูง 3775.6 ม. รอย เขิงเขา 153 กม. ยอดเขา 3 กม. เส้นผ่าศูนย์กลาง ทิศตะวันออกและ ทิศตะวันตก 39 กม. เหนือใต้ 37 กม. ปริมาตร 1174 ลบ.ม.
ประวัติ
เชื่อว่ามีผู้ปีนเขาฟูจิ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึงยุคเมจิ ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบันภูเขาฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ภูเขาฟูจิได้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นได้จากในงานเขียนหรือภาพวาดต่างๆ โดยเฉพาะภาพวาดของ โฮะกุไซ ที่มีให้เห็นในวรรณกรรมญี่ปุ่นและกาพย์กลอนที่สำคัญมากมาย ภูเขาฟูจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรต่างๆมากมายจากยุคอดีต เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่บริเวณตีนเขา ปัจจุบันภูเขาไฟฟูจิสูง 3775.6 ม. รอย เขิงเขา 153 กม. ยอดเขา 3 กม. เส้นผ่าศูนย์กลาง ทิศตะวันออกและ ทิศตะวันตก 39 กม. เหนือใต้ 37 กม. ปริมาตร 1174 ลบ.ม.
วังโชมงต์
ประวัติ
วังโชมงต์ (อังกฤษ: Château de Chaumont) เป็นวังที่ตั้งอยู่ที่บนฝั่งแม่น้ำลัวร์ในโชมงต์-ซูร์-ลัวร์ในจังหวัดลัวร์-เอต์-แชร์ในประเทศฝรั่งเศส ปราสาทโชมงต์ก่อสร้างโดย Eudes II เคานท์แห่งบลัวส์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 เพื่อใช้เป็นป้อมสำหรับป้องกันบลัวส์จากการโจมตี
ในปี ค.ศ. 1465 โชมงต์ถูกเพลิงไหม้หมดตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 แห่งฝรั่งเศส และต่อมาสร้างใหม่โดยชาร์ลที่ 1 แห่งอองบัวส์ระหว่าง ค.ศ. 1465 ถึง ค.ศ. 1475 และมาเสร็จในสมัยของโอรส ชาร์ลที่ 2 แห่งอองบัวส์แห่งโชมงต์ระหว่าง ค.ศ. 1498 ถึง ค.ศ. 1510 โดยความช่วยเหลือของลุงจอร์จแห่งอองบัวส์
ในปี ค.ศ. 1560 แคทเธอรีน เดอ เมดิชิซื้อโชมงต์หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระสวามีพระเจ้าอองรีที่ 2 และทรงใช้เป็นที่จัดงานเลี้ยงต่างที่รวมแขกเช่นนอสตราดามุส แต่ไม่นานหลังจากนั้นแคทเธอรีนก็บังคับให้ไดแอนน์เดอปัวติเยร์พระสนมของพระสวามีให้แลกวังเชอนงโซกับวังโชมงต์ ไดแอนน์เดอปัวติเยร์พำนักอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน
ในปี ค.ศ. 1750 ฌาคส์-โดนาเตียง เลอ เรย์ (Jacques-Donatien Le Ray) ซื้อวังนี้สำหรับเป็นที่พำนักในชนบท และก่อตั้งโรงงานทำแก้วและเครื่องปั้นดินเผาขึ้น โดนาเตียง เลอ เรย์ได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งการปฏิวัติอเมริกัน" ของฝรั่งเศสเพราะความที่รักอเมริกา เบนจามิน แฟรงคลินมาเป็นแขกของวังโชมงต์ แต่ใน ค.ศ. 1789 รัฐบาลของคณะการปฏิวัติฝรั่งเศสก็ทำการยึดทรัพย์ของโดนาเตียง เลอ เรย์รวมทั้งวังโชมงต์
ต่อมาใน ค.ศ. 1810 นักประพันธ์ชาวสวิสแอนน์ หลุยส์ แชร์แมง เดอ สเตล[1] (Anne Louise Germaine de Staël) ก็ซื้อวัง และต่อมา เซย์ ซูการ์ก็มาซื้อต่อใน ค.ศ. 1875 ปลายปีเดียวกันซูการ์สมรสกับเจ้าแห่งโบรกลี (Broglie) ผู้เป็นเจ้าของต่อมาจนถึงปี ค.ศ. 1938 เมื่อตกไปเป็นสมบัติของรัฐบาล วังโชมงต์ในปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์
วังโชมงต์ (อังกฤษ: Château de Chaumont) เป็นวังที่ตั้งอยู่ที่บนฝั่งแม่น้ำลัวร์ในโชมงต์-ซูร์-ลัวร์ในจังหวัดลัวร์-เอต์-แชร์ในประเทศฝรั่งเศส ปราสาทโชมงต์ก่อสร้างโดย Eudes II เคานท์แห่งบลัวส์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 เพื่อใช้เป็นป้อมสำหรับป้องกันบลัวส์จากการโจมตี
ในปี ค.ศ. 1465 โชมงต์ถูกเพลิงไหม้หมดตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 แห่งฝรั่งเศส และต่อมาสร้างใหม่โดยชาร์ลที่ 1 แห่งอองบัวส์ระหว่าง ค.ศ. 1465 ถึง ค.ศ. 1475 และมาเสร็จในสมัยของโอรส ชาร์ลที่ 2 แห่งอองบัวส์แห่งโชมงต์ระหว่าง ค.ศ. 1498 ถึง ค.ศ. 1510 โดยความช่วยเหลือของลุงจอร์จแห่งอองบัวส์
ในปี ค.ศ. 1560 แคทเธอรีน เดอ เมดิชิซื้อโชมงต์หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระสวามีพระเจ้าอองรีที่ 2 และทรงใช้เป็นที่จัดงานเลี้ยงต่างที่รวมแขกเช่นนอสตราดามุส แต่ไม่นานหลังจากนั้นแคทเธอรีนก็บังคับให้ไดแอนน์เดอปัวติเยร์พระสนมของพระสวามีให้แลกวังเชอนงโซกับวังโชมงต์ ไดแอนน์เดอปัวติเยร์พำนักอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน
ในปี ค.ศ. 1750 ฌาคส์-โดนาเตียง เลอ เรย์ (Jacques-Donatien Le Ray) ซื้อวังนี้สำหรับเป็นที่พำนักในชนบท และก่อตั้งโรงงานทำแก้วและเครื่องปั้นดินเผาขึ้น โดนาเตียง เลอ เรย์ได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งการปฏิวัติอเมริกัน" ของฝรั่งเศสเพราะความที่รักอเมริกา เบนจามิน แฟรงคลินมาเป็นแขกของวังโชมงต์ แต่ใน ค.ศ. 1789 รัฐบาลของคณะการปฏิวัติฝรั่งเศสก็ทำการยึดทรัพย์ของโดนาเตียง เลอ เรย์รวมทั้งวังโชมงต์
ต่อมาใน ค.ศ. 1810 นักประพันธ์ชาวสวิสแอนน์ หลุยส์ แชร์แมง เดอ สเตล[1] (Anne Louise Germaine de Staël) ก็ซื้อวัง และต่อมา เซย์ ซูการ์ก็มาซื้อต่อใน ค.ศ. 1875 ปลายปีเดียวกันซูการ์สมรสกับเจ้าแห่งโบรกลี (Broglie) ผู้เป็นเจ้าของต่อมาจนถึงปี ค.ศ. 1938 เมื่อตกไปเป็นสมบัติของรัฐบาล วังโชมงต์ในปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)