วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Michael jackson

ไมเคิล แจ็กสัน (อังกฤษ: Michael Jackson) (29 สิงหาคม พ.ศ. 2501-25 มิถุนายน พ.ศ. 2552) มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน (Michael Joseph Jackson) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า เอ็มเจ (MJ) หรือแจ็กโก้ (Jacko) เป็นนักร้องชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชาเพลงป็อป หรือ “ King of Pop ”
เขาเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัวแจ็กสัน ปรากฏตัวครั้งแรกในระดับอาชีพด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ในปี 1969 เขาเริ่มมีผลงานเดี่ยวในปี 1971 ขณะที่ยังคงเป็นสมาชิกของวงอยู่ ในปี 1982 มีผลงานอัลบั้มที่ชื่อ Thriller ซึ่งถือเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และสี่อัลบั้มเดี่ยวที่เหลือก็ยังถือว่าเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดอัลบั้มหนึ่ง อันประกอบด้วยชุด Off the Wall (1979), Bad (1987), Dangerous (1991) และ HIStory (1995)
ต้นทศวรรษ 1980 เขาเริ่มมีความโดดเด่นในวงการเพลงป็อป และถือเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน คนแรกที่มีแฟนเพลงมากมายผ่านทางช่องเอ็มทีวี ความนิยมของเขามาจากการออกอากาศมิวสิกวิดีโอทางช่องเอ็มทีวี อย่างเช่นเพลง "Beat It", "Billie Jean" และ "Thriller—เพลงนี้ได้รับเครดิตว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมิวสิกวิดีโอจากอุปกรณ์การประชาสัมพันธ์ไปเป็นรูปแบบของศิลปะ— มิวสิกวิดีโอเหล่านี้ได้ช่วยให้ช่องที่เพิ่งเปิดใหม่นี้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น วิดีโอเพลง "Black or White" และ "Scream" ก็ยังคงเปิดบ่อยทางช่องเอ็มทีวีในทศวรรษ 1990 ด้วย ลีลาบนเวทีของไมเคิลและมิวสิกวิดีโอ แจ็กสันสร้างความโด่งเดังกับท่าเต้นซับซ้อนโดยใช้ร่างกายมากมายหลาย ๆ ท่า อย่างเช่นท่าเต้นหุ่นยนและท่าเต้นมูนวอล์ก ส่วนเอกลักษณ์ด้านดนตรีและเสียงร้องของเขายังเป็นอิทธิพลให้กับศิลปินแนวฮิปฮอป ป็อป และอาร์แอนด์บี ให้อีกหลายคน อิทธิพลเพลงของเขามีแพร่กระจายไปสู่คนหลายรุ่น
แจ็กสันหาเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อมูลนิธิการกุศลของเขา มีซิงเกิ้ลการกุศลมากมายที่สนับสนุนให้กับ 39 องค์กร ชีวิตส่วนตัวของเขาเขามักปรากฏตัวโดยการปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและพฤติกรรมให้คนอื่นจำไม่ได้ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของเขาด้วยเช่นกัน เขายังถูกข้อกล่าวหาลวนลามทางเพศเด็กในปี 1993 แต่ก็ปิดลงโดยเขาไม่มีความผิดเนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ ไมเคิลมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 และยังมีข้อมูลรายงานขัดแย้งในเรื่องฐานะการเงินของเขาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 แจ็กสันแต่งงานมาแล้วสองครั้ง มีลูกสามคน ต่อมาในปี 2005 เขามีข้อพิพาทอีกครั้งเรื่องล่วงละเมิดทางเพศและอีกหลายคดี แต่เขาก็ไม่มีความผิด
เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่ศิลปินที่มีชื่ออยู่ใน ร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ถึงสองครั้ง ผลงานของเขาประสบความสำเร็จได้รับสถิติหลายครั้งจากกินเนสบุ๊ค รวมถึงในหัวข้อ เป็นหนึ่งใน"ศิลปินบันเทิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล" เขาได้รับรางวัลแกรมมี่ 13 ครั้ง มี 13 ซิงเกิ้ลที่ขึ้นอันดับ 1 ในฐานะนักร้องเดี่ยว และมียอดขายรวมกว่า 750 ล้านชุดทั่วโลก เขาถือเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมเพลงป็อปมากว่า 4 ทศวรรษ ไมเคิล แจ็กสันเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 อายุได้ 50 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ปลามังกร







ปลาอะโรวาน่า นับว่าเป็นสุดยอดปลาสวยงามที่ ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดมา โดยตลอดซึ่งอาจจะ เป็นเพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีรูปร่างสวยงามน่า เกรงขามมีเกล็ดขนาดใหญ่และมีสีสีนแวววามมี หนวดซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้จะคล้าย"มังกร" นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเชื่อต่างๆ เข้ามาเกี่ยว ข้องกับปลาอะโรวาน่าโดยชาวจีนเชื่อว่าผู้ใดเลี้ยง ปลาชนิดนี้แล้วจะร่ำรวยมีโชคลาภ จึงทำให้ปลา ชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด จึงส่งผลให้ราคาปลาดังกล่าวมีราคาค่อนข้างสูง สำหรับปลาอะโรวาน่าเกือบทุก สายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์จากทวีปเอเชีย จากการศึกษาตามประวัติของปลา ชนิดนี้พอที่จะทราบได้ว่ามีการขุดค้นพบซากฟอลซิลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ จึงทราบว่าปลาอะโรวาน่าจัดเป็นปลาโบราณอยู่ในตระกูล "Osteoglossidae" ซึ่งเป็นตระกูลของปลา ที่มีลิ้นเป็นกระดูกแข็ง Bony Tougue ปลาชนิดนี้พบ กระจายอยู่ใน 4 ทวีปทั่วโลก คือ ทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปอัฟริกา และทวีป ออสเตรเลีย โดยปลาที่มาจากแต่ละทวีปจะมีรูปร่างลักษณะเด่นพิเศษที่แตกต่างกัน ตามไปด้วย โดยเฉพาะปลาที่มาจากทวีปเอเชีย เป็นปลาที่มีราคาแพงมากที่สุด สายพันธุ์อเมริกาใต้ อะโรวาน่า ปลาตะพัด หรือปลามังกร เป็นปลาที่จัดอยู่ในตระกูล Osteoglos Sidae (ออสทีโอกลอสซีดี้) ปลาในตระกูลนี้พบแพร่กระ จายอยู่ทั่วโลก โดยมีลักษณะภายนอกที่แตกต่าง กันและผันแปรไปตามแหล่งที่สามารถพบได้ แบ่ง ได้ 4 สกุล(Genus) และ มีอีก 7 ชนิด(Specises) ด้วยกัน คือ ทวีปอเมริกาใต้ 3 ชนิด ทวีปออสเตเลีย 2ชนิด ทวีปอัฟริกา 1 ชนิด ทวีปเอเบียอีก 1 ชนิด (4 สายพันธุ์) ซึ่งแต่ละชนิดมีถิ่นกำเนิดแตกต่างกันออกไปดังนี้
1. กลุ่มทวีปเอเชีย2. กลุ่มทวีปอเมริกาใต้ 3. กลุ่มทวีปแอฟริกา 4. กลุ่มทวีปออสเตรเลีย และนอกจากนั้นลักษณะสีของลำตัว หัวและครีบ ของปลา อะโรวาน่าก็มีสีแตกต่างกันออกตามสาย พันธุ์ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 สายพันธุ์
ถิ่นกำหนด
ปลาอะโรวาน่าหรือปลาตะพัดเป็นปลาที่จัดอยู่ในครอบครัว Osteoglossidae (ออสทีโอกลอสซิดี้) ปลาในตระกูลนี้หากจัดแบ่งตามแหล่งที่อยู่อาศัยหรือเขตุภูมิภาคที่พบซึ่งเป็นที่ยอมรับของสากลจะแบ่งออกเป็น 4 สกุล (Genus) และมี 7 ชนิด (Species) คือ
ทวีปอเมริกาใต้ 3 ชนิดทวีปออสเตรเลีย 2 ชนิดทวีปอัฟริกา 1 ชนิดทวีปเอเซีย 1 ชนิด (4 สายพันธุ์)

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันงดสูบบุหรี่โลก




ความเป็นมา : เริ่มมีการจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลกในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ.1988 โดยองค์การอนามัยโลก เนื่องจากเล็งเห็นอันตรายของบุหรี่ต่อสุขภาพ ของผู้สูบบุหรี่และผู้ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันบุหรี่ การจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลก ก็เพื่อกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบ และให้รัฐบาลชุมชนและประชากรโลก ตระหนักถึงความสำคัญและเข้าร่วมกิจกรรม
การสูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่เป็นประจำเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง และโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ นอกจากนี้ยังส่งผลทำให้มีโอกาสเกิดโรคบางโรค มากกว่าผู้ที่ไม่ได้รับควันบุหรี่ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอื่น ๆ อีกหลายโรค บุหรี่ยังทำให้เสียทรัพย์โดยไม่จำเป็นอีกด้วย
องค์การอนามัยโลกระบุชัดเจนว่า การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ที่สามารถป้องกันได้ และกำหนดให้ วันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก ( World No Tobacco Day) ซึ่งในปีนี้ ได้กำหนดประเด็นการรณรงค์เพื่อให้ทุกภาคส่วนดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน และให้บุคลากรสาธารณสุขมีส่วนร่วมในการรณรงค์ควบคุมการบริโภคยาสูบ ภายใต้คำขวัญว่า “Health Professionals Against Tobacco” หรือ “ ทีมสุขภาพร่วมใจ ขจัดภัยบุหรี่” โดยกระทรวงสาธารณสุขและเครือข่ายได้กำหนดให้ใช้ดอกลีลาวดีเป็นสัญลักษณ์ในการรณรงค์
โทษของการสูบบุหรี่
1. โรคมะเร็ง ในอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น มะเร็งที่ปาก ที่ลิ้น ที่กล่องเสียง แต่ที่เป็นมากที่สุดคือ มะเร็งปอด สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา และกระทรวงสาธารณสุขแห่งสหรัฐอเมริกาได้รายงานผลวิจัย เมื่อ พ.ศ. 2521 ว่าผู้ที่สูบบุหรี่จัด มีโอกาสตายด้วยโรคมะเร็งมากกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ 20 เท่า
2. โรคทางเดินหายใจ ผู้สูบบุหรี่จัดมีอาการไอเรื้อรัง บางครั้งไอถี่มากจนไม่สามารถหลับนอนได้ แต่เมื่อหยุดสูบอาการจะบรรเทาและหายไปในที่สุด นอกจากนี้ทาร์ในควันบุหรี่จะสะสมอยู่ในปอด วันละเล็กวันละน้อย จนในที่สุดถุงลมปอดโป่งพองจนไม่สามารถหดตัวกลับได้ มีผลทำให้ปอดไม่สามารถแรกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนได้มากเท่าเดิมจึงทำให้หายใจขัด หอบ และหากเป็นเรื้อรังอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ง่ายเช่นเดียวกันนอกจากนี้ยังพบว่าการสูบบุหรี่ทำให้เป็นโรคอื่นได้อีกหลายอย่าง เช่น โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล โรคความดันเลือดสูง โรคตับแข็ง โรคปริทนต์ โรคโพรงกระดูกอักเสบ เป็นต้น และยังส่งผลต่อบุคลิกภาพของผู้สูบบุหรี่อีกด้วย

กินอย่างมีประโยชน์




อย่างที่เกริ่นไว้ว่าผักและผลไม้นานาชนิดที่วางขายกันอยู่ตามท้องตลาดนั้น ล้วนมีคุณประโยชน์มากมายที่ซ่อนอยู่ในตัวเองแต่หลายคนอาจมองข้ามไป หรือมีวิธีการรับประทานที่ไม่ถูกวิธี จึงทำให้ไม่ได้คุณประโยชน์ที่ซ่อนอยู๋แบบเต็ม วันนี้มีข้อแนะนำสำหรับการรับประทานอาหารให้ได้ประโยชน์เริ่มจาก "ผักคะน้า" ซึ่งเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด ที่สำคัญคะน้าเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร " ลูทีน " ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย ต่อด้วย "เห็ด" ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกันกระดูกพรุน คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าหากขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุ ก็จะยิ่งเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น"แอ็ปเปิ้ล" การกินแอปเปิ้ลช่วยให้ปอดแข็งแรง ไม่ว่าจะกินแอปเปิ้ลเขียวหรือแดงก็ตาม เพราะในผลแอปเปิ้ลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ “เคอร์ซีทิน" สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิ้ลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร " เพกทิน " จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนัก การกินแอปเปิ้ลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว เพราะในแอปเปิ้ลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75% การกินแอปเปิ้ลสดได้ประโยชน์มากมาย ปิดท้ายด้วย "องุ่น" ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่ายๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร "โอพีซี" (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายในช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัยช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย

คะน้า


ผักคะน้า ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จัก เพราะเป็นผักที่มีขายอยู่ทั่วไป หาซื้อง่าย นำไปประกอบอาหารได้หลายชนิด และยังเป็นส่วนประกอบ ใส่ลงในก๋วยเตี๋ยวหลายอย่างได้อร่อย เช่น ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว และยังเป็นของเคียงกับ อาหารยำต่างๆ ได้ดีอีกด้วย แถมราคาไม่แพง รสชาติดี ยิ่งเมื่อเริ่มเข้าหน้าหนาว ผักจะสวย ราคาถูกเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะ ผักชอบอากาศหนาว เลยทำให้ผักสวย และได้จำนวนการผลิตมาก คะน้า เป็นผักที่ปลูกได้ทุกท้องที่ และภูมิอากาศ ช่วงระยะเวลาที่ปลูก จนถึงเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 45 วัน ใช้พื้นที่ในการปลูกไม่มากนัก เสียแต่ว่าผักคะน้า จะมีศัตรูพืชมาก โดยเฉพาะหนอนและเพลี้ย สาเหตุนี้เอง เลยทำให้ผู้ที่ปลุกใช้ยาฆ่าแมลง และสารเคมีต่างๆ เพื่อไม่ให้ผักเสียหาย จึงทำให้ผักคะน้า เป็นผักที่ไม่ค่อยปลอดสารพิษ แต่ในปัจจุบันนี้ ได้มีการทำผักปลอดสารพิษกันมาก จึงทำให้ผู้บริโภค ได้ความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้น เวลาที่จะซื้อมาบริโภค ก็ควรเลือกที่ไว้ใจได้ ถ้าพอมีที่ทางมาลองปลูกคะน้าไว้กินเอง ก็จะเป็นการดีกินได้สบายใจ เมล็ดคะน้าสีจะออกดำๆ มีบรรจุซองขายนำมาแช่น้ำ 1 คืน แล้วโรยลงบนดิน ที่ผสมปุ๋ยหมักเตรียมไว้ คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง พองอกต้นอ่อนๆ ค่อยย้ายลงแปลงหรือกระถาง พอต้นสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ถอนต้นอ่อนบางส่วนออก บางต้นที่ถอนออก จะเป็นลูกคะน้า ผัดไฟแดงอร่อยมาก เพื่อจะได้เปิดช่องว่าง ให้ต้นที่แข็งแรงกว่าเติบโต รดน้ำให้ชุ่ม ใส่ปุ๋ยบ้าง เป็นครั้งคราว ประมาณ 45 วัน คะน้าจะโตเต็มที่ ให้ตัดยอดรุ่นแรกไปกินได้ ให้เหลือโคนต้นพอประมาณ ต้นคะน้าจะแตกยอดใหม่ ให้กินได้อีก 2-3 ครั้ง แต่ระวังหนอนผักหน่อย ถ้าเจอรีบเขี่ยออก มิฉะนั้นคะหน้าจะเหลือแต่ตอใบเขียวจัดของคะน้า เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุวิตามิน ที่คับคั่งและเข้มข้น ที่พบมากมายมหาศาล ก็คือเบต้า-แคโรทีน ที่กำ่ำลังมาแรง ในแวดวงอาหารเสริมสุขภาพเบต้า-แคโรทีน คือหนึ่งในสารประมาณ 500 ชนิด ที่รวมอยู่ในกลุ่ม "แคโรทีนนอย" ซึ่งเมื่อถ่ายโอนจากผัก สู่ร่างกายมนุษย์ จะกลายเป็นฐานในการแปรรูปสู่วิตามินเอ ซึ่งมีการค้นพบมานานแล้วว่า เป็นวิตามินที่สัมพันธ์ กับการเกิดมะเร็ง โดยในเลือดของผู้ป่วยโรคนี้ ได้รับการ วิเคราะห์พบว่า มีวิตามินเออยู่ในปริมาณต่ำ ขณะเดียวกัน การกินวิตามินเอให้เพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงต่อ การเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ ลำคอ ปอด และกระเพาะปัสสาวะได้ และมีการค้นพบข้อเท็จจริง ชัดเจนขึ้นอีกว่า สารที่ไปยั้งมะเร็งนั้น ไม่ใช่วิตามินเอโดยตรง แต่ได้แก่สาร เบต้า-แคโรทีนต่างหากแต่ละวันมนุษย์จะได้รับวิตามินเอ จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และพืชผัก-ผลไม้ โดยวิตามินเอจากสัตว์นั้น มนุษย์รับมาใช้ประโยชน์ได้เลยโดยตรง เมื่อร่วมกินกับไขมัน แต่สำหรับพืช ซึ่งมีโครงสร้างต่างจากสัตว์และมนุษย์ วิตามินเอจะอยู่ในรูปของแคโรทีนนอย ซึ่งร่างกายมนุษย์ ต้องนำมามาแปรรูปให้เป็น วิตามินเอต่อไป ด้วยกระบวนการทำงานประสานกัน ของระบบอวัยวะและแร่ธาตุสารอาหารต่างๆคะน้าและพืชร่วมสกุลกะหล่ำ เป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนอันเยี่ยมยอด จะเอาไปล้างหรือปรุง ด้วยความร้อนในรูปใด ก็ยังคงคุณค่ามหาศาลนี้เอาไว้ได้ แต่หากกินสดได้จะวิเศษมาก เพราะของดีที่มีในคะน้าอีกลหายอย่าง ต้องการการประคบประหงม เช่นวิตามินซียอดคะน้าสด อุดมไปด้วยวิตามินซี และเกลือแร่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้นกันโรค แข็งแรงสมบูรณ์น้องๆ เบต้า-แคโรทีน แต่วิตาในซีสลายไปได้ง่าย ด้วยน้ำและอากาศ ฉะนั้น กินคะน้าเมื่อไหร่ ต้องชะลอการหั่นไว้ ในขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเห็นคะน้าต้องนึกถึงความกรอบ น่ากิน และรสดีของคะน้า เสน่ห์ของผักคะน้า จึงทำให้มีผู้บริโภคกันมาก นำมาประกอบเป็นอาหารหลากหลาย ข้อสำคัญระวังเรื่องผักไม่ปลอดสารพิษ ควรเลือกดูก่อนซื้อมาบริโภค สิ่งที่สำคัญ เพื่อความแน่ใจในการบริโภค คือ ต้องล้างผักให้แน่นใจ ก่อนนำไปบริโภค การล้างผักคะน้า ที่ใบคะน้ามีไขสีเท่าเคลือบเอาไว้ บางคนสงสัยว่าเป็นสารเคมีหรือเปล่า ที่จริงไม่ใช่ ไขขาวๆ ที่เห็นนัน้เป็นสารธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย แต่ซึมซับเอาละอองยาฆ่าแมลงได้ดี ฉะนั้น ยามล้างใบคะน้า จึงควรลูบไขขาวๆ นี้ออก หรือหากใส่เกลือ หรือโซดาไบคาร์บอเนต ไม่ก็เหยาะน้ำส้มสายชูสักหน่อย วิธีใดวิธีหนึ่ง ช่วยกำจัดยาฆ่าแมลงออกได้ ที่ดีกว่าการล้าง คือ การเลือกคะน้าที่มีรอยแมลงกิน แสดงว่าปลอดภัยคะน้า เป็นผักสร้างกระดูกเหมือนใบยอ แต่ดีกว่าใบยอที่ว่ากินง่าย และกินได้บ่อย หาซื้อก็ง่าย ใบคะน้า มีแคลเซียมสูง งานวิจัยของ Robert P.H (1990) ศึกษาการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย พบว่า ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียม จากคะน้าได้ไม่น้อยกว่าแคลเซียมจากนม คะน้า ชื่อทางวิทศาสตร์ Brassica oleracea CV. Group Chinese kale วงศ์ Brassicaceae
ทองหยอด

โอ่งมังกร






คนจีนซึ่งเคยทำเครื่องปั้นดินเผามาก่อนจากเมืองจีน ได้มาริเริ่มทำโอ่ง อ่าง ไห ขาย
จีนรุ่นบุกเบิกชื่อ นายจือเหม็ง แซ่อึ้งและพรรคพวก ได้รวบรวมทุนได้ 3,000 บาท ตั้งโรงงานเถ้าเซ่งหลีขึ้น
เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2476 เป็นโรงงานขนาดเล็กบริเวณสนามบินอยู่ตรงข้ามโรงเรียนอนุบาลราชบุรีเดี๋ยวนี้
แหล่งดินสีแดงที่ราชบุรีก็ค่อนข้างจะมีคุณภาพเหมือนที่เมืองจีน ดังนั้น จากเดิมเราใช้โอ่งอ่างไหจากเมืองจีน
ผู้ริเริ่มก็ทำอ่าง ไห กระปุก และโอ่งบ้างเล็กน้อย ให้ชาวมอญราชบุรีใส่เรือไปเร่ขาย
การทำโอ่งได้ริเริ่มอย่างจริงจังก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินขาวที่ใช้แต่งลวดลายเดิมได้มาจากเมืองจีน
ต่อมาได้หาทดแทนจากดินที่ท่าใหม่จันทบุรี และสุราษฏร์ธานี
เมื่อกิจการรุ่งเรืองขึ้น โรงงานจึงขยายกิจการและผลิตโอ่งเพิ่มมากขึ้น
หุ้นส่วนหลายคนแยกตัวไปตั้งโรงงานเอง โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรี
ปัจจุบันมีโรงงานผลิตโอ่งอยู่ถึง 42 แห่ง และเป็นโรงงานผลิตเครื่องเคลือบรูปแบบต่าง ๆ ออกไปอีก 17 แห่งตามจังหวัดอื่น ๆ ที่แยกไปจากนี้ คือ ที่อำเภอ
หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จังหวัดชลบุรีและในกรุงเทพมหานครบริเวณ สามเสน เป็นต้น
เจ้าของโรงงาน ช่างปั้น และประชาชนส่วนใหญ่ของจังหวัดราชบุรี เมื่อครึ่งศตวรรษมาแล้วล้วนเป็นลูกหลานจีน ดังนั้นช่างปั้นจึงได้คิดคัดเลือกลวดลายที่เป็นมงคล และมี
ความหมายที่ดี เพื่อให้เกิดความรู้สุกที่ดีต่อผู้ใช้ นอกเหนือจากความงามเพียงอย่างเดียว ที่สุดก็ได้เลือกสรรลวดลายมังกร ซึ่งแฝงและฝังไว้ด้วยความหมายตามความเชื่อ
คตินิยมในวัฒนธรรมจีน
ลวดลายมังกรดั้นเมฆ มังกรคาบแก้ว และมังกรสองตัวเกี่ยวพันกัน ล้วนเป็นสัตว์สำคัญในเทพนิยายของจีน เป็นเทพแห่งพลัง แห่งความดี และแห่งชีวิต ช่างปั้นเลือกเอา
มังกรที่มี 3 เล็บหรือ 4 เล็บ เป็นลวดลายตกแต่งโอ่ง ช่างผู้ชำนาญปาดเนื้อดินด้วยหัวแม่มือเป็นรูปมังกร โดยไม่ต้องร่างแบบ ขีดเป็นลายมังกรด้วยปลายซี่หวี เป็นหนวด นิ้ว
เล็บ ส่วนเกล็ดมังกรหยักด้วยแผ่นสังกะสีแล้วเน้นลูกตาให้เด่นออกมา

มารู้จักมังกรซิครับ
พญานาค
เป็นชื่อที่คนไทยเรียก
มังกร
เป็นชื่อที่คนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีและญวนใช้เรียก
จึงผิดกันเฉพาะรูปร่างหน้าตาและชื่อที่เรียกเท่านั้น ไทยเราไม่เรียก แล้ง เล่ง หรือ หลง ตามภาษาจีน แต่เรียกมังกร มาจากบาลีสันสกฤตว่า มกร หรืออย่างไร ก็ไม่ทราบ
ว่าถึงรูปร่างมกรก็เป็นอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนรูปเล่งของจีน ในหนังสือตำราพิชัยสงคราม สมัยรัชกาลที่ 2 มีการจัดขบวนทัพข้ามน้ำเรียกว่า มังกรพยุหะ ก็เขียนรูปมังกรคล้าย
พญานาค เพียงแต่เพิ่มเขาและเท้าเข้าไปเท่านั้น บางตัวก็มีเกล็ด บางตัวก็มีลายแบบงู ความจริงรูปร่างมังกรแบบจีน คนไทยก็คงเคยเห็นมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้วใน
สมัยรัตนโกสินทร์ก็ใช้เป็นลายประดับตามประตู และสลักบนแผ่นหินหลายแห่งรูปมังกรของจีนคงจะได้แพร่หลายไปตามภาชนะพวกถ้วยชามโอ่งไห ดังได้พบบนลายโอ่ง
สมัยราชวงศ์ถังที่พบในแม่น้ำลำคลอง
ความจริงแล้วเรื่องของมังกร พญานาค งู ปลา จระเข้ มีเรื่องพัวพันกันชอบกลเรื่องของจีนที่เกิดสมัยที่นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ไทยแปลคำว่า เล้ง เล่ง หลง เป็น
พญานาคหมด ทำให้คนไทยเข้าใจเรื่องดีขึ้น และไทยก็เอารูปมังกรมาเขียนเป็นเป็นแบบไทย ๆ คล้ายพญานาคดังกล่าวมาแล้ว
ในหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนได้กล่าวถึงกำเนิดมังกรไว้เป็นความว่า มังกรเกิดขึ้นในสมัยอึ่งตี่หรือหวงตี้ ได้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องหมายประจำชาติจีน เพราะ
สมัยโบราณมนุษย์นิยมใช้รูปสัตว์หรือดอกไม้เป็นเครื่องหมายประจำเผ่าของตน ชาติจีนที่ได้รวมขึ้นเป็นชาติใหม่ จึงควรมีเครื่องหมายประจำชาติใหม่ กษัตริย์อึ่งตี่จึงนำ
ส่วนต่าง ๆ ของสัญลักษณ์ที่แต่ละเผ่าเคยใช้มารวมกัน คือนำหัวของสัญลักษณ์ชนเผ่าวัว ลำตัวของเผ่างู เกล็ดหางของเผ่าปลา เขาของเผ่ากวาง และเท้าของเผ่านก นำ
ส่วนต่าง ๆ เหล่านี้มาปรุงเป็นรูปสัตว์ชนิดใหม่ขึ้นเรียกว่า เล้ง หรือมังกร
มังกรมีเล็บไม่เท่ากัน มังกรผู้ยิ่งใหญ่หรือระดับหัวหน้าจะมี 5 เล็บ และรูปมังกรที่ฉลองพระองค์ของจักรพรรดิจะมีเล็บมากกว่ามังกรธรรมดา คือ ธรรมดามีเพียง 4 เล็บ
รูปมังกรที่ฉลองพระองค์ก็จะมี 5 เล็บ และใช้เป็นเครื่องหมายของราชวงศ์ที่มียศสูงสุดส่วนพวกเจ้าชั้นที่ 3 ที่ 4 หรือขุนนางใช้เป็นเครื่องหมายได้เพียงมังกรชนิดชนิด 4
เล็บเท่านั้น ส่วนการประดับตกแต่งทั่ว ๆ ไปก็จะใช้มังกรชนิด 3 เล็บเป็นพื้น มังกรชนิด 5 เล็บนั้นกล่าวว่าเล็บที่ 5 ไม่ได้เรียงกันแบบธรรมดา เล็บที่ 5 จะวางอยู่ตรงกลางฝ่า
เท้า
มังกรของจีน นอกจากจะมีเขาแบบกวางแล้ว ตัวผู้ยังมีหนวดมีเคราอีกด้วย ตั้งแต่รัชกาล เถาจื่อ แห่งราชวงศ์ถัง ได้เริ่มใช้มังกร 5 เล็บ เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ
มังกรมี 3 ชนิด แต่แบ่งหน้าที่เป็น 4 พวก
จีนได้แบ่งชนิดของมังกรออกเป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ
หลง
เป็นพวกที่มีอำนาจมากที่สุด มีนิสัยชอบอยู่บนฟ้า
หลี
เป็นพวกที่ไม่มีเขา อาศัยอยู่ในมหาสมุทร
เจียว
เป็นพวกมีเกล็ด อยู่ตามลุ่มหนองหรือถ้ำในภูเขา
ที่รู้จักกันมากคือ หลง ซึ่งมีส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ 9 อย่างดังกล่าวมาแล้ว
มังกรของจีนมีหน้าที่แบ่งกันทำ 4 พวกด้วยกัน คือ
มังกรสวรรค์
มีหน้าที่รักษาวิมานเทวดาและค้ำจุนวิมานไม่ให้พังลงมา
มังกรเทพหรือมังกรเจ้า
มีหน้าที่ให้ลมให้ฝนเพื่อประโยชน์ของมนุษย์
มังกรพิภพ
มีหน้าที่กำหนดเส้นทางดูแลแม่น้ำลำธาร
มังกรเฝ้าทรัพย์
มีหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ของแผ่นดิน
มีเรื่องน่าสังเกตว่า หน้าที่ของมังกรไปตรงกับหน้าที่ของพญานาค ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 พวกเหมือนกัน
ไทยรู้จักมังกรมาตั้งแต่เมื่อไร
อย่างต่ำที่สุดก็ พ.ศ.2276 ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ มีรูปมังกรประดับพระเมรุด้วย แต่รูปร่างจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ มาเห็นรูป
ร่างมังกรในตำราพิชัยสงครามสมัยรัชกาลที่ 2 กรุงรัตนโกสินทร์ก็เป็นแบบไทย ๆ คือคล้ายพญานาค แต่ไม่มีหงอนสูง มีเขา 2 เขา มีครีบ มีตีน

ทำไมรูปมังกรจึงต้องมีลูกแก้วด้วย
ตามตำนานกล่าวว่า มังกรมีไข่มุกมีค่าเท่ากับทองร้อยแท่งอยู่ในปาก เมื่อมังกรต่อสู้กันอยู่บนอากาศ ไข่มุกก็ตกลงมาบนพื้นดิน ต้นเรื่องของมังกรคาบแก้วหรือเล่น
แก้วจะมาจากเรื่องนี้หรือเปล่าไม่ทราบ แต่ฟังตามเรื่องแล้วมังกรชอบเพชนนิลจินดามาก ตามภาพเขียนของจีนถ้าเป็นรูปมังกร 2 ตัวหันหน้าเข้าหากัน ก็จะเป็นรูปกลม ๆ สี
แดงอยู่ระหว่างมังกรทั้งสองนี้ บ้างก็ว่ารูปกลมแดงนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์

ภูมิใจในคำขวัญ “เมืองโอ่งมังกร”
ด้วยพื้นฐานของช่างปั้นซึ่งเป็นลูกหลานของคนจีน เนื้อดินเหนียวเป็นวัตถุดิบชนิดดี ช่างติดลายได้นำความสามารถเชิงศิลปะสะท้อนภาพชีวิตตามวัฒนธรรมจีน มา
ผสมผสานกับเทคนิคการผลิตเป็นอุตสาหกรรม อดีตจากท่าน้ำหน้าเมือง โอ่งมังกรจะแพร่ไปทั่วตามแม่น้ำลำคลอง ที่เรือขายโอ่งจะผ่านไปได้ จนปัจจุบันนี้ รถบรรทุกสิบล้อ
จะขนไปขายทั่วประเทศอย่างเนื่อง ไม่ว่าเหนือจรดใต้ จนเป็นที่รู้จักว่าราชบุรีคือเมืองโอ่งมังกร

เมื่องานกีฬาเยาวชนครั้งที่ 5 และงานมหกรรมของดีเมืองราชบุรี ปี 2532 จังหวัดได้สร้างคำขวัญเพื่อเผยแพร่ให้รู้จักจังหวัดราชบุรี ว่า
“คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง เมืองโอ่งมังกร
วัดขนอนหนังใหญ่ ตื่นใจถ้ำงาม ตลาดน้ำดำเนิน
เพลินค้างคาวร้อยล้าน ย่านยี่สกปลาดี”

ด้วยการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหรมมพื้นบ้านของสำนักงานอุสาหกรรมจังหวัดราชบุรีสามารถพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเซรามิกส์ เช่น โรงงานเถ้าฮงไถ่ก็หันไปผลิตเครื่อง
ปั้นดินเผ่าประเภทออกแบบลวดลาย สวยงามตามความต้องการของลูกค้าผลิตภัณฑ์จากโรงงานนี้ได้ มาตรฐานสามารถส่งออกไปจำหน่าย

ต่างประเทศได้ กรมศิลปากรเคยมาว่าจ้างให้ผลิตเครื่องปั้นดินเผ่าที่มีคุณค่าเพื่อใช้ในงานฉลอง 200 ปี กรุงเทพมหานคร ถ้วยชามเบญจรงค์เลียนแบบของเก่าก็มีผลิตที่
โรงงานรัตนโกสินทร์นักท่องเที่ยวที่ผ่านมาถึงราชบุรีก็อดใจซื้อติดมือกลับไปไม่ได้ ส่วนโรงงานสยามราชเครื่องเคลือบก็พัฒนาการผลิตเป็นแจกัน เลียนแบบเครื่องสังคโลก
แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมนัก บางโรงงานก็ก้าวไปไกลหันไปผลิตถ้วยชามและของชำร่วย เช่น โรงงานเซรามิกส์บ้านโป่ง

ปัจจุบันบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความก้าวหน้าทางเทคนิคและวิทยาการของอุตสาหกรรม มีการประดิษฐ์วัตถุภัณฑ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาใช้แทนไหโอ่งมากขึ้นประกอบ
กับเริ่มมีปัญหาเรื่องปิดป่าหาฟืนยาก จนถึงกับต้องตั้งเป็นสมาคมโรงงานสมาชิกต้องร่วมใจกันเสียสละปลูกป่าทดแทนในเขตสัมปทานโดยเฉพาะ พร้อมกันนั้นต้องหันมาใช้
แก๊สช่วยในการเผาไหม้ นับเป็นผลกระทบต่อธุรกิจการค้าของโรงงาน
อย่างไรก็ตาม โอ่งลายมังกรเมืองราชบุรี คงจะเป็นสินค้าออกของจังหวัดไปอีกนานทีเดียว

การทำโอ่งมังกรมีด้วยกัน ๕ ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ ๑ การเตรียมดิน เนื้อดินสีน้ำตาลแดงที่ได้จากท้องนาทั่วไปในจังหวัดราชบุรีเป็นเนื้อดินเหนียวที่มีคุณภาพดีเยี่ยม มีความละเอียดเหนียวเกาะตัวกันได้ดีนำมาหมักไว้ในบ่อดิน แช่น้ำทิ้งไว้ ๑ สัปดาห์เพื่อให้น้ำซึมเข้าในเนื้อดินให้ดินอ่อนตัวทั่วถึงกันและเป็นการทำความสะอาดดินไปในตัวด้วย หลังจากนั้นตักดินขึ้นมากองไว้ แทงหรือตักดินด้วยเหล็กลวดให้เป็นก้อน นำเข้าเครื่องโม่หรือเครื่องนวดเพื่อให้เนื้อดินเข้ากัน แล้วใช้เหล็กลวดหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลวดตัวเก็ง ตักดินที่โม่แล้วให้เป็นก้อนมีขนาดเหมาะพบกับการปั้นงานแต่ละชิ้นนำมานวด โดยผสมทรายละเอียดเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้โอ่งมังกรมีเนื้อที่แกร่งและคงทนยิ่งขึ้น

ขั้นตอนที่ ๒ การขึ้นรูปหรือการปั้น แบ่งออกเป็นสามส่วน คือ
ส่วนขาหรือส่วนกัน โดยการนำดินที่ผ่านการนวดให้เป็นเส้นแล้วมีความยาวประมาณ ๓๐ เซลติเมตร วางลงบนแผ่นไม้ ซึ่งวางบนแป้น ก่อนวางต้องใช้ขี้เถ้าโยเสียก่อนเพื่อไม่ให้ดินติดกับแผ่นไม้และสะดวกต่อการยกลง เนื้อดินส่วนนี้มีลักษณะเป็นก้อนกลมหรือก้อนสี่เหลี่ยมแผ่ออกเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางตามขนาดของโอ่งที่ต้องการ จากนั้นนำดินเส้นมาวางต่อกันเป็นชั้นเรียนกว่า การต่อเส้น เมื่อปั้นตัวโอ่งและยกลงจากแป้นแล้ว ตบแต่งผิวด้านนอกและ ด้านใน โดยการขูดดินที่ไม่เสมอกันออกให้ผิวเรียบ แล้วใช้ลูบเพื่อให้ผิวเนียนอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนลำตัว นำตัวขาหรือส่วนก้นที่แห้งพอหมาดมาวางบนแป้นที่มีขนาดเตี้ยกว่าแป้นที่ปั้นส่วนขา ตบแต่งผิวอีกครั้งด้วยฮุยหลุบและไม้ตี นำดินเส้นมาวางต่อกันเป็นชั้นสำหรับส่วนสำตัวทำนองเดียวกับส่วนขา วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางให้ได้ตามต้องการ ใช้ไม้ต๊าขุดดินและแต่งผิวให้เรียบ ทิ้งไว้พอหมาด
ส่วนปาก ลักษณะการต่อเส้นคล้ายกับสองส่วนแรก แป้นมีขนาดเตี้ยลงอีกก่อนจะต่อเส้นต้องตบแต่งผิวส่วนลำตัวและส่วนขาด้วยไม้ต๊าเสียก่อน ใช้ดินเส้นประมาณห้าเส้นวัดความสูงได้ประมาณ ๗๐ เซนติเมตร ใช้พองน้ำลูบผิวให้เรียบ จากนั้นใช้ผ้าด้ายดิบชุบน้ำลูบส่วนบน พร้อมกับบีบหรือกดให้ขึ้นเป็นรูปขอบปากโอ่ง ใช้ไม้ต๊าตบแต่งให้เรียบเสมอกันอีกครั้งหนึ่ง ยกไปวางผึ่งให้เป็นระเบียบ เพื่อรอการทำในขั้นต่อไป สำหรับการยกลงจากแป้นนั้นต้องใช้ช่างปั้นสองคนช่วยกันยกด้วยเชือกหาม เป็นเชือกที่นำมามัดไขว้กันเป็นวงกลมให้มีขนาดเท่ากับตัวโอ่งพอดี ปล่อยปลายยาวทั้งสองด้านสำหรับจับยกหาม สำหรับส่วนปากซึ่งทำไว้เป็นจำนวนมากนั้น ถ้าทิ้งไว้นานก่อนถึงขั้นตอนการเขียนลายจะทำให้แห้งเกินไป จึงต้องทำให้อยู่ในสภาพเปียกหมาดๆ อยู่เสมอ โดยใช้พลาสติกคลุมไว้ การขึ้นรูปโอ่งแต่ละใบใช้เวลาประมาณ ๒๐ - ๓๐ นาที
ขั้นตอนที่ ๓ การเขียนลาย ก่อนที่จะนำโอ่งมาเขียนลาย ต้องตบแต่งผิวให้เรียบเสียก่อนด้วยฮุ่ยหลุบและไม้ตี โอ่งที่ตบแต่งผิวเรียบร้อยแล้วจะต้องนำมาเขียนลายทันทีเพราะถ้าทิ้งไว้เนื้อดินจะแห้งทำให้เขียนลายไม่ได้ สำหรับแป้นที่ช่างใช้เขียนลายนั้นจะต้องเป็นแป้นไม้หมุน ขณะเขียนลายลงบนตัวโอ่งช่างจะใช้เท้าถีบที่แกนหมุนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเขียนเสร็จ วัสดุที่ใช้เขียนลายเป็นดินเนื้อละเอียดผสมกับดินขาวเรียกว่า ดินติดดอก มีสีนวล ดินขาวนั้นได้มาจากจังหวัดจันทบุรีหรือสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีคุณภาพดี เหมาะสำหรับการนำมาเป็นดินติดดอกบนตัวโอ่งราชบุรี ช่างเขียนลายจะใช้ดินสีนวลนี้ปาดด้วยมือเป็นเส้นเล็กๆ รอบตัวโอ่งแบ่งเป็นสามตอนหรือสามช่วง คือช่วงปากโอ่งลำตัวและส่วนเชิงล่างของโอ่ง ในแต่ละตอนแตะละช่างจะมีลวดลายที่ไม่เหมือนกัน
ช่วงปากโอ่ง นิยมเขียนลายดอกไม้ หรือลายเครือเถา ใช้วีที่เรียกว่าพิมพ์ลาย นำกระดาษฉลุลายวางทาบบนโอ่งแล้วปาดด้วยดินติดดอก ใบหนึ่งๆ จะมีประมาณ ๔ ช่วงตัวแบบ
ช่วงลำตัว นิยมเขียนรูปมังกรมีทั้งมังกรดั้นเมฆ มังกรคาบแก้ว และมังกรสองตัวเกี่ยวกัน ช่างเขียนลายจะเป็นผู้ที่ชำนาญมาก ปาดเนื้อดินด้วยหัวแม่มือเป็นรูปร่างมังกรอย่างคร่าวๆ โดยไม่ต้องมีแบบร่างก่อน จากนั้นจะใช้ปลายหวีขีดเป็นตัวมังกรใช้ซี่หวีตกแต่งเป็นส่วนหนวด นิ้วและเล็บสำหรับเกล็ดมังกรใช้สังกะสีที่ตัดปลายหยักไปมาบนตัวมังกร และเน้นส่วนลูกตาของมังกรให้มีความนูนเด่นออกมา
ช่วงเชิงล่างของโอ่ง ใช้วิธีการติดลายคล้ายกับส่วนปาก จากนั้นใช้น้ำลูบที่ลายทั้งหมด เพื่อให้ลายมีผิวเรียบเสมอกันและลื่น เป็นการเตรียมสู่ขั้นตอนการเคลือบและเผาต่อไปโอ่งแต่ละใบช่างผู้ชำนาญจะใช้เวลาการเขียนลายประมาณ ๑๐ นาที
ขั้นตอนที่ ๔ การเคลือบ น้ำยาที่ใช้ในการเคลือบเป็นส่วนผสมของขี้เถ้าและน้ำโคลนหรือเลนและสีเล็กน้อย ซึ่งเป็นสีที่ได้จากออกไซด์ของเหล็ก ส่วนใหญ่มีสีน้ำตาลเข้มการเคลือบจะนำโอ่งไปวางหงายในกระทะขนาดใหญ่ หรือกระทะในบัว ใช้น้ำยาเคลือบเทราดให้ทั่วทั้งด้านในและด้านนอก แล้วจึงนำไปวางผึ่งลมไว้ โอ่งที่เคลือบน้ำยานั้น นอกจากจะทำให้เกิดสีสันสวยงานเป็นมันเมื่อเผาแล้ว ยังช่วยในการสมานรอยต่างๆ ในเนื้อดินให้เข้ากัน เมื่อนำไปใส่น้ำจะไม่ทำให้น้ำซึมออกมาด้านนอกด้วย
ขั้นตอนที่ ๕ การเผา เตาเผาโอ่งมังกรเรียกว่า เตาจีนหรือเตามังกง ก่อด้วยอิฐทนไฟเป็นรูปยาว ด้านหัวเตาเจาะเป็นช่องประตูสำหรับเป็นทางลำเลียงโอ่งและภาชนะดินเผาอื่นๆ ด้านบนของเตาทั้งสองด้านเจาะรูเป็นระยะ เรียกว่า “ตา” เพื่อใช้ใส่เชื้อเพลิงคือฟืนปัจจุบันใช้ฟืนไม้กระถิน ลักษณะของเตามังกรนี้ด้านหนึ่งอยู่ระดับเดียวกับพื้นดินใช้เป็นหัวเตาสำหรับก่อไฟ อีกด้านหนึ่งสูงกว่าเพราะต้องทำให้ตัวเตาเอียงลาด เป็นส่วนก้นของเตา ใช้เป็นปล่องระบายควัน
ก่อนการสำเลียงโอ่งเข้าเตาเผา ต้องเกลี่ยพื้นเตาในให้เรียบเสมอกันก่อนแล้วจึงจัดวางโอ่งให้เป็นระเบียบ การวางโอ่งซ้อนกันจะมีแผ่นเคลือบเรียนว่า “กวยจักร” เป็นตัวรองไว้ นอกจากตัวโอ่งแล้วถ้ายังมีที่ว่างเหลือก็จะนำไห ชาม กระถาง ที่มีขนาดเล็กมาวางเผาพร้อมกัน สำหรับภาชนะขนาดเล็กมีดินรองที่ปากซึ่งเป็นดินเหนียวผสมทราย เมื่อลำเลียงโอ่งเข้าประตูเตาแล้ว ก่อนเผาจะต้องใช้อิฐปิดทางให้มิดชิด เพื่อมิให้ความร้อนระบายออกได้ เตาขนาดใหญ่สามารถจุโอ่งได้คราวละ ๓๐๐ – ๔๐๐ ใบ หรือสามารถนำออกบรรทุกรถขนาดใหญ่ได้เตาละ ๕ คัน
การจุดไฟต้องเริ่มจุดที่หัวเตาก่อน เมื่อติดดีแล้วทยอยใส่ฟืนที่ช่องเตาทั้งสองด้าน ความร้อนในเตาต้องมีอุณหภูมิถึง ๑,๒๐๐0 การดูว่าโอ่งนั้นเผาสุกได้ที่หรือยังต้องดูตามช่องใส่ฟืนและต้องดูจากชั้นต่ำสุดก่อน หากยังไม่สุกดีก็ต้องเติมไฟลงไปอีก ถ้าสุกดีแล้วก็ใช้อิฐปิดช่องนั้น และดูช่องถัดไปตามลำดับด้วยวิธีเดียวกัน จนกว่าจะสุกทั่วทั้งเตาจึงเลิกใส่ฟืน แล้วปล่อยให้ไฟดับเอง ทิ้งไว้ประมาณ ๑๐ – ๑๒ ชั่วโมง ความร้อยในเตาจะค่อยลดลงจนสามารถเปิดช่องประตูเตานำโอ่งออกมาได้
วันหนึ่งๆ มีโอ่งมังกรนับหมื่นใบถูกลำเลียงออกไปขายทั่งประเทศ จากเส้นทางสัญจรทางน้ำมาเป็นทางหลวงแผ่นดิน โอ่งมังกรก็สามารถไปไกลทั่วทุกภาคของประเทศบางครั้งไปถึงต่างประเทศในเอเชีย เป็นการนำมาซึ่งรายได้มหาศาลแก่ประเทศชาติ

วัดขนอนหนังใหญ่




วัดขนอนตั้งอยู่ตำบลสร้อยฟ้า อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นที่รู้จักกันของคนทั่วไปโดยเชื่อว่าในอดีตสถานที่นี้เป็นที่ตั้งด่านเก็บภาษีอากรในสมัยโบราณที่เรียกว่า “ ขนอน ” ซึ่งเป็นด่านเรียกเก็บภาษีทั้งในรูปของเงินและสิ่งของต่างๆ ผู้คนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้จึงใช้ชื่อที่ติดมาแต่เดิมและเรียกวัดนี้ว่า “ วัดขนอนโพธาวาส ” เมื่อด่านขนอนได้ถูกยกเลิกไปจึงเชื่อกันว่า สิ่งของเครื่องใช้เป็นจำนวนมากถูกนำมาเก็บรักษาไว้ที่วัดขนอน
โบราณวัตถุจำนวนมากซึ่งรวบรวมไว้ที่วัดขนอนมีหลายประเภท เช่น เครื่องลายคราม ชามเบญจรงค์ พระพุทธรูปสมัยต่างๆ สมุดข่อย คัมภีร์ใบลาน กล่องใส่คัมภีร์ ภาพพระบฏ และเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน แต่สิ่งที่ทำให้วัดขนอนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปคือ “ หนังใหญ่ ” ผู้ที่ริเริ่มจัดทำขึ้นคือ พระครูศรัทธาสุนทร หรือ หลวงปู่กล่อม (พ.ศ. ๒๓๙๑-๒๔๘๕) อดีตเจ้าอาวาสวัดขนอนร่วมด้วยครูอั๋ง ช่างจาด ช่างจ๊ะ และช่างพ่วง หนังใหญ่ซึ่งเป็นสมบัติของวัดขนอนที่มีมาแต่เดิมจำนวนทั้งหมด ๓๑๓ ตัว จัดเป็นคณะหนังใหญ่ที่มีจำนวนตัวหนังมากที่สุดและมีความงดงามสมบูรณ์ที่สุด
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระราชดำริขอให้วัดขนอนเก็บรักษาหนังใหญ่ชุดเดิมที่อายุนับร้อยปีไว้เพื่อเป็นสมบัติของชาติสืบต่อไปและจัดสร้างหนังใหญ่ชุดใหม่เพื่อใช้เล่นแทนชุดเดิมที่มีอายุร้อยกว่าปี
โครงการจัดทำหนังใหญ่ชุดใหม่ของวัดขนอนได้รับความร่วมมือจาก ๓ ฝ่าย คือ มหาวิทยาลัยศิลปากรนำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์สน สีมาตรัง เป็นหัวหน้าฝ่ายงานช่างทำหน้าที่จัดทำตัวหนังใหญ่ทุกตัวและควบคุมโครงการทั้งหมด รวมทั้งได้นาย วาที ทรัพย์สิน บุตรชายของอาจารย์ สุชาติ ทรัพย์สิน ครูหนังและเจ้าของคณะหนังตะลุงที่มีชื่อเสียงจากจังหวัดนครศรีธรรมราชมาสาธิตกรรมวิธีและควบคุมการปรุหนังใหญ่ของนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีและคณะกรรมการจังหวัดทำหน้าที่ประสานงานกับวัดขนอน และมหาวิทยาลัยศิลปากรในการจัดประชุมและการจัดหาทุน ส่วนพระครูสังฆบริบาล เจ้าอาวาสวัดขนอนในขณะนั้นและคณะกรรมการวัดทำหน้าที่ประสานงานกับจังหวัดในการนำหนังใหญ่ออกแสดงเพื่อหาทุนเข้าโครงการ
การไหว้ครูตัวหนังเจ้าก่อนการละเล่นหนังใหญ่
ในปัจจุบันวัดขนอนจัดทำพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ขึ้น โดยคัดเลือกตัวหนังใหญ่ชุดเดิมมาจัดนิทรรศการวัดประมาณ ๖๐ ตัว และมีการละเล่นหนังใหญ่ทุกวันเสาร์เวลา ๑๐.๐๐ น. โดยผู้เป็นแม่งานในการต่อลมหายใจให้หนังใหญ่วัดขนอนคือ พระอธิการนุชิต วชิรวุฑโฒ (ลิ้นทอง) เจ้าอาวาสวัดขนอนรูปปัจจุบัน
แต่การดำเนินงานก็ประสบปัญหาที่สำคัญคือ ขาดผู้ที่สมัครใจที่จะมาเป็นผู้สืบทอดและผู้แสดงหนังใหญ่ เพราะปัจจุบันส่วนใหญ่คนที่มาเป็นทำหน้าที่เป็นผู้แสดงหนังใหญ่มักเป็นเด็กนักเรียนในชุมชนที่ต้องการหารายได้ระหว่างเรียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวแต่ไม่มีความสนใจอย่างแท้จริง รวมทั้งการแสดงหนังใหญ่เป็นการแสดงกึ่งพิธีกรรมที่ต้องใช้ผู้แสดงเป็นผู้ชายล้วน แต่ในปัจจุบันอนุโลมได้ให้ผู้หญิงร่วมแสดงได้หากมีความสนใจโดยให้แสดงเป็นตัวละครหญิง ส่วนนักเรียนที่มาชมหนังใหญ่กับทางโรงเรียนนั้นก็มาชมเพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในโรงเรียนเท่านั้น
นอกจากนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในชุมชนบริเวณวัดขนอนก็ไม่นิยมชมการแสดงประเภทนี้เท่าใดนัก เนื่องจากอิทธิพลของความบันเทิงประเภทอื่นๆ เช่น การชมรายการโทรทัศน์ การชมภาพยนตร์และการฟังเพลง จะเห็นได้จากวันสงกรานต์เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๔๘ ที่ผ่านมาทางวัดขนอนได้จัดการละเล่นหนังใหญ่ร่วมกับวัดสว่างอารมณ์ จังหวัดสิงห์บุรี และจัดฉายหนังกลางแปลงที่ลานกลางแจ้งของวัดขนอน ปรากฏว่ามีผู้ชมหนังกลางแปลงมากกว่าการละเล่นหนังใหญ่จากทั้งสองวัด
งบประมาณที่ใช้ในกิจการหนังใหญ่วัดขนอนนั้นมีจำนวนจำกัดเนื่องจากผู้ให้สนับสนุนมีจำนวนน้อยรายทำให้ไม่สามารถดำเนินการสนับสนุนเผยแพร่ได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น ไม่สามารถให้เงินค่าตอบแทนแก่มัคคุเทศก์ได้ในกรณีที่นำผู้ที่สนใจมาชมพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่และการละเล่นหนังใหญ่ นอกจากคณะผู้สนใจในงานศิลปวัฒนธรรมอย่างจริงจังแล้วก็ไม่มีคณะทัวร์จากบริษัทนำเที่ยวนำผู้สนใจมาเยี่ยมชมวัดขนอนแต่อย่างใด
จากปัญหาดังกล่าวข้างต้นทำให้งานสืบทอดมหรสพหนังใหญ่วัดขนอนเป็นงานที่ยากลำบาก และทำให้พระอธิการนุชิต วชิรวุฑโฒ เจ้าอาวาส พยายามจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นวัดขนอนขึ้นอีกทางหนึ่งเพื่อเป็นรักษาและสืบทอดสมบัติของวัดขนอนซึ่งเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของการบันทึกประวัติศาสตร์และอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่ รวมทั้งสร้างจิตสำนึกให้ผู้คนในชุมชนรับรู้และเล็งเห็นความสำคัญของศิลปวัฒนธรรมในชุมชนของตนมากขึ้นกว่าแต่เดิม

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สะพานแม่นำแคว


สะพานข้ามแม่น้ำแคว จีนที่ต่อสู้ดิ้นรนและมาตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทย คุณพ่อ เล่าให้ฟังว่า อาก๋งเป็นคนจีนแคะที่นั่งเรือมาจากเมืองจีนและมาตั้งรกรากอยู่ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งแต่สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ท่านมาแบบตัวเปล่าและมาก่อร่างสร้างตัวโดยใช้วิชาความรู้ที่ติดตัวมา "เป็นหมอแมะ" (ใช้วิธีจับชีพจรเพื่อสามารถตรวจโรคต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีอยู่บ้าง) หลังจากที่ใช้วิชาความรู้เกี่ยวกับการรักษาคนแล้ว อาก๋งก็เริ่มขยับขยายด้วยการเปิดร้านขายยาจีน ซึ่งอาก๋งมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการปรุงยาจีนเป็นอย่างดี จึงทำให้เป็นที่รู้จักและสร้างความไว้วางใจให้กับคนในท่าม่วงในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก และด้วยความขยัน และอดออม ทำให้อาก๋งได้เจอคู่ชีวิตก็คือ อาม่า ซึ่งเป็นคนไทยที่ช่วยกันทำมาหากินจนกระทั่งก่อร่างสร้างตัวและเป็นรากฐานของตระกูลของผู้เขียนมาตั้งแต่รุ่นลูกจนกระทั่งรุ่นหลาน ปัจจุบัน ร้านขายยาที่อาก๋งก่อตั้งขึ้นมาก็ยังเปิดอยู่โดยมีพี่ชายของคุณพ่อเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์(ชื่อร้านอ้วยแซตึ้ง) ฟังเรื่องอาก๋งกับอาม่าแล้วทำให้รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทุกครั้ง ที่อาก๋งตั้งต้นชีวิตมาจากศูนย์และสามารถสร้างอะไรต่างๆ มากมายไว้ให้กับรุ่นลูกรุ่นหลาน ทำให้ผู้เขียนที่เป็นหลานคนหนึ่งรู้จักการต่อสู้กับชีวิต มีความพยายามที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างให้ประสบความสำเร็จที่มาจากพื้นฐานความอดทน ซึ่งล้วนเป็นแบบอย่างและเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งที่ได้มาจากอาก๋ง คุยกับคุณพ่อหลายต่อหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ตอนนั้นคุณพ่อยังเป็นเด็กอยู่เล่าให้ฟังว่า อำเภอท่าม่วงก็เป็นฐานทัพของญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่ง แม่ค้าในตลาดส่วนมากจะส่งผักขายให้กับทหารญี่ปุ่นเพื่อนำไปทำเป็นอาหารเลี้ยงเชลยที่เป็นทหารฝ่ายพันธมิตร ส่วนที่ร้านขายยาของที่บ้านจะมีทหารญี่ปุ่นมาคอยตรวจดูไม่ให้จำหน่ายยาแก้ปวด เนื่องจากเขากลัวชาวบ้านจะลักลอบนำยาไปให้เชลยศึกที่ชาวญี่ปุ่นจับตัวมา คุณพ่อ บอกว่า ยังเคยแอบเอาของกินไปให้เชลยด้วยเหมือนกัน คุยไปก็นึกขึ้นมาได้ว่าช่วงวันที่ 25 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 5 ธันวาคม จะมีงานสัปดาห์ข้ามแม่น้ำแควที่จังหวัดกาญจนบุรีจัดขึ้นทุกๆ ปี โดยจัดขึ้นที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว รวมถึงงาน Light and Sound ในช่วงเดือนพฤศจิกายนของกลางคืนในทุกปี จังหวัดกาญจนบุรีและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะจัดให้มีงานแสดง แสง สี เสียง เป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยจะมีรถไฟจริงๆ วิ่งข้ามสะพานพร้อม แสง สี เสียง รอบทิศทาง เป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจที่จำลองและบรรยายภาพเหตุการณ์ในอดีตและถ่ายทอดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่างอลังการตระการตาให้ชนรุ่นหลังได้ย้อนรอยไปสู่บรรยากาศแห่งสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามโลก ครั้งที่ 2 อีกครั้ง รถไฟสายยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า มีส่วนหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก สะพานข้ามแม่น้ำแควตั้งอยู่ที่ตำบลท่ามะขาม ห่างจากตัวเมืองไปทางเหนือตามทางหลวงหมายเลข 323 ประมาณ 4 กิโลเมตร แยกซ้ายประมาณ 400 เมตร มีป้ายเขียนบอกไว้ชัดเจน ใครที่ยังไม่เคยมาเที่ยวงาน ปีนี้ลองมาสัมผัสดูได้ สะพานข้ามแม่น้ำแควเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง และคำขวัญประจำจังหวัดกาญจนบุรีก็คือ "แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่ น้ำตก" จังหวัดกาญจนบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมากมายทั้งโบราณสถาน ปราสาท เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนเขาแหลม น้ำตกไทรโยค น้ำตกเอราวัณ รวมทั้งการล่องแพ แล้วยังมีรีสอร์ตต่างๆ อีกมากมายที่อำนวยความสะดวกและรองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ว่ากันว่าใครที่มากาญจนบุรีแล้วไม่ได้เดินข้ามสะพานรถไฟก็ถือว่ายังมาไม่ถึงกาญจนบุรี ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแควแห่งนี้วันละเป็นจำนวนมากๆ ทำให้ร้านขายของที่ระลึกก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ผู้เขียนมีโอกาสไปเดินหลายต่อหลายครั้ง จำได้ว่าเมื่อหลายปีที่ผ่านมาแวะซื้อเพชรพลอยที่นี่ คนขายจะเป็นคนไทย แต่ปัจจุบันเจ้าของร้านส่วนมากจะเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่ข้ามมาจากทางฝั่งพม่ามาจับจองพื้นที่ขายเสียเอง นิลสีดำจะเป็นนิลที่ขึ้นชื่อของกาญจนบุรี และถ้าใครเคยได้ยินชื่ออำเภอบ่อพลอย ที่นี่แหละเป็นต้นกำเนิดของอัญมณีต่างๆ ซึ่งคุณสามารถขับรถไปเที่ยวชมและเลือกซื้อได้ อำเภอบ่อพลอยอยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีไปประมาณ 30 กิโลเมตร ทางรถไฟคุณสามารถเดินข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้ซึ่งในตลอดเส้นทางจะมีที่สำหรับแวะถ่ายรูปได้อย่างสะดวกสบาย เราลองมาอ่านประวัติของเส้นทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้กันนะคะ ปัจจุบันชาวโลกต่างให้สะพานข้ามแม่น้ำแควเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ประวัติของสะพานอันโหดร้ายมีว่า "ทัพญี่ปุ่นที่มีชัยในภูมิภาคเอเชียต้องการสร้างสะพานรถไฟไปพม่า ซึ่งต้องผ่านแม่น้ำแควใหญ่ ในสมัยนั้นป่าค่อนข้างรกทึบและมีโรคร้ายมากมาย เมื่อปลายปี พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นบุกรุกเข้าไทย มีการสู้รบกัน ภายหลังเจรจาตกลงระงับการสู้รบและรัฐบาลยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และทำการสู้รบต่อไปยังประเทศพม่า อินเดีย ฯลฯ กองทัพญี่ปุ่นได้ก่อสร้างทางรถไฟจากประเทศไทยไปยังพม่าเพื่อขนส่งยุทธสัมภาระ การสร้างทางรถไฟเส้นทางไทย-พม่า เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2485 ช่วงแรกเริ่มจากสถานีหนองปลาดุกถึงกาญจนบุรีระยะทาง 50 กิโลเมตร เป็นทางราบตลอด ส่วนทางกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตก เริ่มมีภูมิประเทศเป็นเนินสูง มีภูเขาเล็กน้อยไม่ถึงกับลาดชันมากนัก แต่จากสถานีน้ำตกขึ้นไปเป็นทางเขามีความชันสูง จนถึงจุดสูงสุดที่เรียกว่า ถ้ำผี จากนั้นจะมีทางลาดลงผ่านหมู่บ้านและตัวน้ำตกไทรโยคถึงท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ ระยะทางรวม 88 กิโลเมตร จากสถานีท่าขนุนไปทางรถไฟจะเลียบลำน้ำแควน้อยขึ้นไปถึงนิเกะ อำเภอสังขละบุรี และไปถึงพรมแดนไทย-พม่า ที่ด่านเจดีย์สามองค์ เป็นระยะทาง 303 กิโลเมตร กองทัพญี่ปุ่นได้สร้างทางรถไฟเข้าไปในพม่าอีก 112 กิโลเมตร ไปบรรจบกับทางรถไฟของพม่าสายมะละแหม่ง-เย ที่สถานีตันบูซายัต การก่อสร้างใช้แรงงานเชลยที่มีทั้งชาวอังกฤษ ฮอลันดา ออสเตรเลีย วันละประมาณ 300 คน วางรางให้ได้วันละประมาณ 1,500 เมตร โดยกองทัพญี่ปุ่นต้องการเร่งรัดให้เสร็จโดยไว เพื่อจะใช้ลำเลียงทหารและยุทธสัมภาระ จึงสร้างพร้อมกันหลายจุดเข้ามาต่อกัน เชลยศึกล้มตายจากเส้นทางช่วงที่ผ่านป่าเขามีไข้ป่าชุกชุม จนได้ชื่อว่าเส้นทาง "รถไฟสายมรณะ" ที่สุดแล้ว เส้นทางสายนี้ก็สำเร็จจากหนองปลาดุกในประเทศไทยถึงตันบูซายัตในพม่า ระยะทาง 415 กิโลเมตร แล้วเสร็จจริง วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2486 เปิดใช้เป็นทางการ วันที่ 25 ตุลาคม ปีเดียวกัน และในปีต่อมา เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2487 สะพานมรณะแห่งนี้ได้ถูกทำลายทิ้งเพื่อตัดเส้นทางการลำเลียงของกองทัพญี่ปุ่นทางอากาศโดยกองกำลังฝ่ายพันธมิตร" สงครามยุติลงในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้ เส้นทางรถไฟสายนี้จึงตกเป็นสมบัติของฝ่ายพันธมิตร จึงจัดการรื้อถอนทางตอนพรมแดนออกเสียส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือในประเทศไทย 300 กิโลเมตร ฝ่ายพันธมิตรเสนอขายทางรถไฟรวมทั้งล้อเลื่อนและวัสดุต่างๆ ให้รัฐบาลไทย 50 ล้านบาทเศษ ปัจจุบัน เพื่อรำลึกอดีตที่แสนจะขมขื่น สะพานเหล็กแห่งนี้จึงได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ เส้นทางที่รถไฟผ่าน อาทิ ช่องเขาขาด เป็นตัวอย่างการขุดเจาะอุโมงค์ แรงงานส่วนใหญ่คือเชลยศึกชาวออสเตรเลียซึ่งต้องเสียชีวิตไประหว่างปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 700 ศพ มีชื่อเรียกสถานที่แห่งนี้อีกชื่อหนึ่ง คือ "ช่องไฟนรก (Hellfire Pass Memorial)" เนื่องจากว่าแรงงานเหล่านี้ต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนต้องใช้แสงสว่างจากคบเพลิงไม้ไผ่ เล่ากันว่า หากมองลงมาจากที่สูงจะเห็นเหมือนกับเป็นแสงสว่างจากนรกจริงๆ เพราะฉะนั้น การไปเที่ยวงานสะพานข้ามแม่น้ำแคว จึงไม่ใช่เพียงแค่การไปเที่ยวชมมหรสพ หรืองานประจำปีประจำจังหวัดกาญจนบุรีเท่านั้น แต่เปรียบเสมือนการเปิดประตูกลับไปสู่อดีตย้อนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 พร้อมทั้งสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว และร่วมกันปลุกประวัติศาสตร์ให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พม่า ซึ่งมีส่วนหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะความทารุณของสงคราม และโรคภัย ตลอดจนขาดอาหาร ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง สะพานข้ามแม่น้ำแคว ตั้งอยู่ที่ตำบลท่ามะขาม ห่างจากตัวเมืองไปทางเหนือตามทางหลวงหมายเลข 323 ประมาณ 4 กิโลเมตร แยกซ้ายประมาณ 400 เมตร มีป้ายเขียนบอกไว้ชัดเจน คุณพ่อ ยังเล่าให้ฟังอีกว่า หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้จากสงครามครั้งนี้ ญี่ปุ่นได้ปล่อยเชลยทั้งหมด ทำให้จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอท่าม่วง และอำเภอใกล้เคียงจะมีร้านอาหาร ผับและบาร์ตั้งอยู่เต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เศรษฐกิจของจังหวัดกาญจนบุรีดีขึ้นมาเรื่อยจนถึงปัจจุบันที่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว และสถานที่หนึ่งที่เป็นความทรงจำสำหรับญาติพี่น้องเชลยศึกสงครามก็คือสุสานอังกฤษ ในแต่ละเดือนจะมีนักท่องเที่ยวและญาติพี่น้องมาเคารพสุสานให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไข้หวัด2009




ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นเชื้อโรคที่น่ากลัวมาก ๆครับ ล่าสุด WHO ได้ยกระดับเตือนภัยของ โรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 (ไข้หวัด 2009 , ไข้หวัดหมู) เป็นระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดอ่านข่าวได้เลย
นายไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายเตือนภัย และ ตั้งรับการแพร่ระบาดของโรคของฮู กล่าวว่า โรคได้แพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆ 16 ประเทศ ล่าสุด คือ คอสตาริกา และมีหลักฐานว่าไวรัสตัวใหม่กำลังแพร่ระบาดในหมู่ประชาชน 5 ชาติที่ไม่เกี่ยวข้องกับเม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งพบผู้ติดเชื้อของโรคไข้หวัดใหญ่นี้เป็นที่แรก ในขั้นนี้ คาดว่าอาจจะมีการประกาศเพิ่มระดับเตือนภัยเป็นระดับ 6 ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้สถานการณ์รุนแรงถึงขั้นนั้น แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลก
ยัน”หมู”ในแคนาดาติดไวรัสเอช1เอ็น1สำนักงานตรวจสอบอาหารของแคนาดา (ซีเอฟไอเอ) ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า หมูที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในจังหวัดอัลเบอร์ตา ติดเชื้อไวรัสเอช 1 เอ็น 1 ซึ่งเป็นสาเหตุของการเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และขณะนี้สำนักงานกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขอื่นๆ เพื่อตัดสินใจดำเนินมาตรการที่เหมาะสมที่สุดต่อไป เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้ทั้งในหมู่ประชาชนและในหมู่สัตว์ล่าสุดในแคนาดาพบผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะชนิดนี้เพิ่ม 30 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วแคนาดาเพิ่มเป็นกว่า 85 คนแล้วปินส์เจ้าภาพประชุมสาธารณสุขอาเซียน
นายอัลเบอร์โต โรมูโล รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า ฟิลิปปินส์จะเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขในวันที่ 7-8 พ.ค. ที่กรุงเทพฯ พร้อมแสดงความหวังว่าการประชุมจะเปิดโอกาสให้ชาติสมาชิกได้ประเมินสถานการณ์และประสานความร่วมมือเพื่อต่อสู้
กับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นอกจากนี้ สำนักเลขาธิการอาเซียนในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียยังได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการและกรณีการติดเชื้อด้วย
ไต้หวันควานหาผู้โดยสาร 19 คน
โฆษกศูนย์ควบคุมโรคไต้หวัน (ซีดีซี) เผยว่า พยายามตามหาประชาชน 19 คนให้มาเข้ารับการตรวจร่างกาย หลังเดินทางโดยเที่ยวบินจากเม็กซิโกถึงนครเซี่ยงไฮ้ เที่ยวบินเดียวกับนักท่องเที่ยวชาวเม็กซิกันที่ได้รับการยืนยันว่าป่วยเป็นไข้หวัดเม็กซิโกในฮ่องกง โดยผู้โดยสาร 19 คน จากทั้งหมด 25 คน เดินทางจากนครเซี่ยงไฮ้สู่ไต้หวันด้วยเที่ยวบิน 6 เที่ยว ทางการไต้หวันจึงต้องการให้ผู้โดยสารเหล่านี้โทรศัพท์ติดต่อไปที่สายด่วนที่ทางการตั้งขึ้นเพื่อเข้ารับการตรวจร่างกาย นอกจากนี้ทางการยังออกประกาศเตือนให้ชาวไต้หวันป้องกันตนเองจากการติดเชื้อขณะเดินทางเยือนฮ่องกง และเกาหลีใต้ ซึ่งต่างยืนยันพบผู้ติดเชื้อเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาฮ่องกงล่าแขกโรงแรมหายตัว 50 คน
นายโธมัส ซาง ผู้ควบคุมประจำศูนย์ปกป้องสุขภาพในฮ่องกง เผยว่า เจ้าหน้าที่กำลังติดตามแขกโรงแรมเมโทรปาร์ก 50 คน ที่ไม่ยอมเดินทางกลับโรงแรม หลังจากที่ทางการและตำรวจเข้าไปปิดล้อมพื้นที่โรงแรม พร้อมกันตัวเจ้าหน้าที่โรงแรมและนักท่องเที่ยวเพื่อตรวจสอบหาไข้หวัดมรณะเป็นเวลา 7 วัน โดยแขกเหล่านี้เป็นแขกที่เดินทางออกจากโรงแรมซึ่งอยู่ในย่านหว่านไจ๋ไปก่อนที่โรงแรมจะถูกปิด และไม่ยอมเดินทางกลับมา นายซางยังเสริมด้วยว่า มีผู้ถูกกักตัวตรวจสอบว่าต้องสงสัยติดหวัดเม็กซิโก 7 คน
พบผู้ติดเชื้อใหม่ในฝรั่งเศส-อิตาลี
นางโรเซอลีน บาเชอโลท์ รัฐมนตรีสาธารณสุขของฝรั่งเศส แถลงยืนยันผลการตรวจร่างกายผู้ต้องสงสัยได้รับเชื้อไวรัสเอช 1 เอ็น 1 จำนวน 2 คนว่า บุคคลทั้งสองมีเชื้อไข้หวัดใหญ่จริง แต่เป็นการรับเชื้อมาจากเม็กซิโก โดยทั้ง 2 คนกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาลและอาการดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่ชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลกับข่าวพบผู้ติดเชื้อ 2 รายแรกของประเทศจนเกินเหตุ ขณะที่ทางการเตรียมเริ่มโครงการรณรงค์ให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนตั้งแต่สัปดาห์หน้า และจะเฝ้าติดตามผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศจากเม็กซิโก พร้อมตั้งหน่วยประสานงานขึ้นทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวอันซาของอิตาลีรายงานการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแคว้นทัสคานีที่ยืนยันว่ามีผู้ป่วย 1 คน เป็นชายวัย 50 ปี ที่เดินทางกลับมาจากเม็กซิโกเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะเข้ารับการรักษา และขณะนี้อาการดีขึ้นแล้ว ไม่มีอาการของไข้หวัดมรณะอีกต่อไป

PANDA




แพนด้า




แพนด้ายักษ์ หรือไจแอนท์แพนด้า (Ailuropoda melanoleuca) คนไทยนิยมเรียกหมีแพนด้า เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์หมี (Ursidae) ถิ่นอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน [อาหารโปรดของแพนด้ายักษ์คือไผ่ นอกนั้นจะเป็นหญ้าชนิดอื่น ๆ ลักษณะเฉพาะของแพนด้ายักษ์คือมีขนสีดำรอบดวงตา, ใบหู, บ่า และขาทั้งสี่ข้าง ส่วนอื่นประกอบด้วยขนสีขาว
ปัจจุบันแพนด้ายักษ์เป็นหนึ่งในสัตว์สายพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดสายพันธุ์หนึ่งของโลก ตามรายงานล่าสุดมีแพนด้าที่เลี้ยงในกรงเลี้ยง 239 ตัวอยู่ในจีน และอีก 27 ตัวอยู่ในต่างประเทศ มีการคาดการณ์ไว้ว่ามีแพนด้ายักษ์ประมาณ 1,590 ตัวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติอย่างไรก็ดี จากการศึกษาในปี พ.ศ. 2549 ผ่านการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ สามารถประมาณการได้ว่าอาจจะมีแพนด้ายักษ์เป็นจำนวนถึง 2,000-3,000 ตัวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำนวนแพนด้าตามธรรมชาติเพิ่มจำนวนขึ้น สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติเชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวยังไม่มีความแน่นอนพอที่จะย้ายชื่อแพนด้ายักษ์ออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์

ลักษณะทั่วไป
แพนด้ายักษ์มีถิ่นอาศัยอยู่ตามพื้นที่ภูเขา เช่น มณฑลเสฉวน ซานซี กานซูและทิเบต แพนด้ายักษ์เป็นสัญลักษณ์ของกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund:WWF) องค์กรด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า ตั้งแต่ช่วงหลังของศตวรรษที่ 20 แพนด้าได้กลายเป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศจีน และรูปภาพของมันได้อยู่บนเหรียญทองของจีน
ถึงแม้พวกมันจะจัดอยู่ในวงศ์ของหมี แต่พฤติกรรมการกินของมันแตกต่างจากหมีโดยสิ้นเชิง แพนด้าเป็นสัตว์กินพืชเป็นอาหาร โดย 99% ของอาหารที่มันกินคือไผ่ แต่บางทีอาจพบว่ามันก็กินไข่ ปลา และแมลงบางชนิดในไม้ไผ่ที่มันกิน นี่เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ
หลายสิบปีที่ผ่านมา การจัดจำแนกสายพันธุ์ที่แน่นอนของแพนด้ายังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แพนด้ายักษ์และแพนด้าแดงซึ่งเป็นญาติสายพันธุ์ห่าง ๆ กัน และยังมีลักษณะพิเศษที่เหมือนทั้งหมีและแรคคูน อย่างไรก็ตาม การทดลองทางพันธุกรรมบ่งบอกว่าแพนด้ายักษ์เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของหมี (วงศ์ Ursidae) หมีที่สายพันธุ์ใกล้เคียงที่สุดของแพนด้าคือหมีแว่นของอเมริกาใต้ (ข้อขัดแย้งที่ยังคงเป็นที่สงสัยอยู่คือแพนด้าแดงนั้นอยู่ในวงศ์ใด เป็นที่ถกเถียงว่าอาจจะอยู่ในวงศ์หมี (Ursidae), วงศ์แรคคูน, วงศ์โพรไซโอนิเด (Procyonidae), หรืออยู่ในวงศ์เฉพาะของมันเอง ไอเลอริเด (Ailuridae))
แพนด้าเป็นสัตว์สปีชีส์ที่ถูกคุกคามหรืออยู่ในอันตรายต่อการสูญพันธ์ ทั้งนี้มาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่จากการบุกรุกของมนุษย์ อัตราการเกิดต่ำทั้งในป่าและในกรงเลี้ยง เชื่อว่ามีแพนด้ายักษ์เพียง 1,600 ตัว อาศัยอยู่รอดในป่า
หมีแพนด้ามีอุ้งตีนที่ผิดจากธรรมดา คือมีนิ้วหัวแม่มือ และมีนิ้วอีก 5 นิ้ว นิ้วหัวแม่มือที่จริงแล้วมาจากการปรับปรุงรูปแบบของกระดูกข้อต่อ สตีเฟน เจย์ กาวลด์ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ โดยมีชื่อเรื่องว่า The Panda's Thumb หรือ นิ้วหัวแม่มือของแพนด้า หางของแพนด้ายักษ์นั้นสั้นมาก โดยมีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร
เกาเกา, แพนด้าเพศผู้ที่สวนสัตว์ซานดิเอโก
แพนด้ายักษ์ เป็นที่รู้จักในตะวันตกเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2412 โดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส อาร์มันด์ เดวิด ผู้ซึ่งได้รับหนังของแพนด้ามาจากนายพรานเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2412 ส่วนชาวตะวันตกคนแรกที่เป็นที่รู้จักว่าเห็นแพนด้ายักษ์ที่ยังมีชีวิตคือนักสัตว์วิทยาเยอรมัน ฮิวโก เวยโกลด์ เขาซื้อลูกของมันมาในปี พ.ศ. 2459 เคอร์มิท และ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ จูเนียร์ ได้เป็นชาวต่างชาติแรก ที่ยิงแพนด้าในการเดินทางศึกษาที่ประเทศจีน เพื่อนำไปสตัฟฟ์และใช้ในการศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ฟิลด์ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ในปี พ.ศ. 2479 รุธ ฮาร์คเนส เป็นชาวตะวันตกคนแรก ที่นำเข้าแพนด้ายักษ์ที่มีชีวิตมายังสหรัฐฯ เป็นลูกแพนด้าชื่อซู-ลิน โดยนำมาเลี้ยงที่สวนสัตว์บรูคฟิลด์ในชิคาโกแพนด้ายักษ์ถือเป็นสัญลักษณ์ทางการทูตอย่างหนึ่งของจีน จะเห็นได้ว่าจีนส่งหมีแพนด้าไปยังสวนสัตว์สหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยการให้ยืม ซึ่งเป็นเครื่องหมายการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างจีนและชาติตะวันตก การปฏิบัติเป็นธรรมเนียมเช่นนี้ทำให้มีคนเรียกแพนด้าว่า "ทูตสันถวไมตรี"อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ไม่มีการใช้หมีแพนด้าในฐานะทูตสันถวไมตรีอีกต่อไป แต่จีนมีการเสนอที่จะส่งแพนด้ายักษ์ไปยังชาติอื่นโดยให้ยืมเป็นเวลา 10 ปี โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมพื้นฐานปีละ 1,000,000 เหรียญสหรัฐ และมีข้อกำหนดว่าลูกของแพนด้ายักษ์ใด ๆ ที่เกิดระหว่างการยืมนั้น ถือเป็นทรัพย์สินของสาธารณรัฐประชาชนจีน

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

PAUL FRANK--















































































พระแท่นดงรัง







พระแท่นดงรัง









พระแท่นดงรัง นับว่าเป็นเจดียฐานประการหนึ่ง คือถือว่าเป็นที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และนับว่าเป็นสังเวชนียสถานแห่งหนึ่ง ในสี่แห่งของพระพุทธเจ้า คือสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ดับขันธปรินิพพาน ซึ่งสถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในประเทศอินเดียในปัจจุบัน ตามตำนาน อันเป็นคติที่เชื่อกันว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังแว่นแคว้นต่าง ๆ ภายนอกประเทศอินเดีย ด้วยอำนาจฌานสมาบัติ และได้ประดิษฐานเจดีย์หรือ ตรัสพยากรณ์เรื่องราวต่าง ๆ ไว้ในแว่นแคว้นเหล่านั้น จึงเกิดมีเจดีย์วัตถุและพุทธพยากรณ์ที่อ้างว่า พระพุทธองค์ได้ทรงประดิษฐานเจดีย์วัตถุไว้หลายแห่งในแว่นแคว้นต่าง ๆ ในประเทศไทยก็มีตำนานเกี่ยวกับการประทับรอยพระพุทธบาท และการสร้างพระธาตุเจดีย์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย รวมทั้งพระแท่นและพระพุทธฉาย สำหรับพระแท่นที่มีอยู่ในพงศาวดารคือ พระแท่นศิลาอาสน์ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย แต่พระแท่นดงรังไม่ได้มีกล่าวไว้ในพงศาวดาร จึงสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ความอัศจรรย์ของพระแท่นดงรังนั้นผิดกับเจดีย์วัตถุอื่น เนื่องจากมีผู้เชื่อว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระแท่นดงรังนี้จริง ๆ ซึ่งเท่ากับว่าเมืองไทยนี้เป็นมัชฌิมประเทศ อันเป็นสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ และดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระแท่นดงรังตั้งอยู่ที่ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ในบริเวณพระแท่นมีเทือกเขาอยู่สองหย่อม หย่อมทางทิศตะวันตกเรียกว่า เขาถวายพระเพลิง ยอดสูง 45 เมตร บนยอดเขามีมณฑปขนาดเตี้ยครอบพระพุทธบาทจำลองไว้ หย่อมเขาทางด้านตะวันออกเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ มีหินแท่งทึบหน้าลาดรูปลักษณะคล้ายพระแท่นหรือเตียงนอน มีตำนานเล่ากันมาแต่ก่อนว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาบรรทมแล้วดับขันธปรินิพพานบนพระแท่นนี้ เล่ากันว่า แต่เดิมมีต้นรังขึ้นอยู่ริมพระแท่นข้างละต้น โน้มยอดเข้าหากัน ดังปรากฎอยู่ในนิราศพระแท่นดงรังตอนหนึ่งว่า "…..ในระหว่างนางรังทั้งคู่ค้อมแต่ไม้รังยังรักพระศาสดา ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลาคำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขาอนิจจาเราเกิดไม่ทันองค์" ปัจจุบันมีวิหารสร้างครอบพระแท่นไว้ ซึ่งคงสร้างไว้นานแล้ว เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2376 สามเณรกลั่น ได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรังกับสุนทรภู่ ได้แต่งนิราศไว้มีความตอนหนึ่งว่า "ถึงพระแท่นแสนสงัดเห็นวัดมีกับต้นรังทั้งคู่ยังอยู่พร้อมต่างชื่นชมโสมนัสยิ่งศรัทธาเข้าประตูดูแผ่นพระแท่นดัง………" ทั้งโบสถ์ที่ครอบพระแท่นแผ่นศิลาดูยอดน้อมเข้ามาข้างแท่นที่แผ่นผาตามบิดาทักษิณด้วยยินดีเหมือนบัลลังก์แลจำรัสรัศมีส่วนที่เป็นพระแท่นนั้นเป็นปลายของเทือกศิลาที่ยื่นออกมา มีลักษณะเป็นศิลาแท่งสูงข้างหนึ่ง ต่ำข้างหนึ่ง ข้างสูงวัดได้ศอกคืบ และยังมีส่วนที่สูงขึ้นไปอีกเหมือนเป็นหมอน กว้างประมาณคืบเศษ สูงประมาณหนึ่งคืบ ข้างปลายพระแท่นสูง 16 นิ้ว พระแท่นยาว 11 ศอกคืบ กว้าง 4 ศอก เศษบริเวณส่วนบน ส่วนล่างกว้าง 3 ศอก เศษ บริเวณที่ตั้งพระแท่นดงรังมีสถานที่ต่าง ๆ อันเนื่องด้วย พระพุทธเจ้าดังนี้ เขาถวายพระเพลิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวิหารพระแท่น บนยอดเขามีมณฑปเตี้ย ๆ รูป 12 เหลี่ยม สมมุติว่าสร้างครอบเชิงตะกอน ที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเมื่อเสด็จปรินิพพานแล้ว สภาพของเขาถวายพระเพลิง ตามที่ปรากฎในกลอนนิราศของสามเณรกลั่น ตอนหนึ่งว่า "ขึ้นคีรีที่ถวายพระเพลิงเผาขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลินดูทางทิศบูรพาน่าวิเวกข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมลเห็นเขาใหญ่ไกลตะคุ่มชะอุ่มเขียวพยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้าพี่พูดพลางทางเดินบนเนินผาพรรณรายพรายแพรวดูแววไวบ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลมเป็นที่เทพนิมิตด้วยฤทธาเป็นก้อนแก้วแวววาบปละปลาบแสงจึงเกิดเป็นบรรพตปรากฎมี บันไดเล่าลดหลั่นเป็นคั่นเขินเหมือนเหาะเหินเห็นรอบขอบมณฑลเห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหนแลดูคนตัวนิดติดสุธาดูลดเลี้ยวหลายหลากชวากผาทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกลเห็นศิลาแวววามงามไสวแลวิไลเลื่อมเลื่อมละลานตาเป็นแก้วแกมเกิดก้อนชะง่อนผาพิจารณาสมความตามบาฬีคือเครื่องแต่งพระศพพระชินสีห์ด้วยเป็นที่ถวายพระเพลิงเชิงตะกอน" หินบดยา ภายในวิหารพระแท่นทางทิศตะวันออกของพระแท่น มีหินอยู่ก้อนหนึ่ง กล่าวกันว่าเป็นที่บดยาถวายพระพุทธเจ้า ในงานเทศกาลนมัสการพระแท่นดงรัง มีผู้ที่ไปนมัสการนำเอาพวกสมุนไพรแล้วเอาหินบดยานี้บดสมุนไพร เพื่อนำเอาไปรับประทานเป็นยาต่อไป ปล่องพญานาค ในบริเวณป่ารังอยู่ทางทิศใต้ของพระแท่นไปประมาณ 200 เมตร มีบ่อลึกอยู่ 1 บ่อ ที่ปากบ่อมีอิฐโบราณก่อเป็นขอบบ่อ กล่าวกันสืบมาว่า บ่อแห่งนี้เป็นปล่องพญานาคที่ขึ้นมานมัสการเชิงตะกอน ที่ถวายพระเพลิงพระสรีระพระพุทธเจ้าบนเขาถวายพระเพลิง ตั้งแต่ครั้งโบราณ สวนนายจุนทะกุมารบุตร บริเวณป่าทางทิศเหนือของพระแท่นดงรัง ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร มีลักษณะเป็นสวนผลไม้มี ต้นมะม่วง มะตูม และต้นตาลโตนด ปรากฎอยู่ถึงปัจจุบัน กล่าวกันว่าเป็นสวนของนายจุนทะกุมารบุตร ผู้ถวายมังสะสุกรอ่อนแก่พระพุทธเจ้า ตามที่กล่าวไว้ในพุทธประวัติ เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยแล้วก็เกิดประชวรลงพระโลหิต เสด็จดับขันธปรินิพพานที่พระแท่นดงรัง ลำน้ำหมอสอและลำพระยาพายเรือ ลำน้ำหมอสอ เป็นลำน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านไหล่เขาถวายเพลิง ในบริเวณพระแท่นดงรัง และทอดยาวไปสู่อำเภอกำแพงแสน มีน้ำตลอดปี ลำน้ำนี้มีประวัติเล่ากันมาว่า ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าประชวรหนัก มีหมอมารออยู่ที่ลำน้ำนี้ แต่ข้ามไม่ได้ ลำน้ำนี้จึงได้ชื่อว่า ลำน้ำหมอรอ แต่ภายหลังเพี้ยนเป็นหมอสอ มีอยู่ตอนหนึ่งของลำน้ำชาวบ้านเรียกกันว่า ลำพระยาพายเรือ มีประวัติเล่าสืบกันมาว่า ในขณะที่หมอกำลังรอไปเฝ้ารักษาพระพุทธเจ้าอยู่นั้น มีพระยาคนหนึ่งนั่งเรือ มีบ่าวไพร่พายเรือมา เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าประชวรหนักกลัวจะไม่ทันกาล พระยาผู้นั้นจึงช่วยพายเรือด้วย ลำน้ำตอนนั้นจึงได้ชื่อดังกล่าว วัดพระแท่นดงรัง นับว่าเป็นวัดเก่าโบราณยิ่งวัดหนึ่งของไทย ได้มีการก่อสร้างถาวรวัตถุ และบูรณะปฏิสังขรณ์มาโดยลำดับ บริเวณโดยรอบพระแท่นมีเนื้อที่ 2,390 ไร่ และภายในเนื้อที่นี้กำหนดเป็นเขตป่าคุ้มครอง 1,120 ไร่ เป็นป่าโปร่ง มีต้นรังขึ้นอยู่ทั่วไป เมื่อ พ.ศ. 2484 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าพระแท่นดงรัง ให้เป็นป่าคุ้มครอง วิหารพระแท่นดงรังหลังเดิม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรดาพระสงฆ์และบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธา ได้บอกบุญร่วมใจกันปฏิสังขรณ์เพิ่มเติม มีทำพาไลข้างนอกกับชานทักษิณโดยรอบเป็นต้น มีหลักฐานบันทึกไว้อย่างละเอียด ปี พ.ศ. 2406 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์วิหารพระอุโบสถ แล้วให้ทำพระเจดีย์ขึ้นที่หลังพระแท่น 1 องค์ ปี พ.ศ. 2465 สมภารน้อย เจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรัง ได้ชักชวนพุทธบริษัทบูรณะซ่อมแซมมณฑปครอบพระพุทธบาท บนเขาถวายพระเพลิง และบรรดาเสนาสนะขึ้นใหม่ทั้งหมด ปี พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาฤกษ์ พระอุโบสถหลังใหม่ และพระราชทานเงินซึ่งผู้มีจิตศรัทธาทูนเกล้าถวาย โดยเสด็จพระราชกุศล ให้เป็นทุนก่อสร้างพระอุโบสถต่อไป การที่พระแท่นดงรังได้ดำรงอยู่ด้วยดีตลอดมา เป็นระยะยาวนานหลายร้อยปี ก็ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา ของบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวไทย ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ตลอดจนถึงอาณาประชาราษฎร์ทุกหมู่เหล่า ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส อันเป็นแบบฉบับที่ดีงามของบรรพบุรุษไทย ที่มีความมั่นคงในพระบวรพุทธศาสนาสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ว่าวไทย


ปรวัติความเป็นมาของว่าวไทย


คำว่า”ว่าว”เป็นคำที่คนไทยทุกชนชั้นทุกสมัยคุ้นเคยและสัมผัสมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ข้าราชบริพารและพระมหากษัตริย์ แต่ในที่นี้ จะกล่าวถึงว่าวจุฬา-ปักเป้า ซึ่งเป็นว่าวเอกลักษณ์ของไทย ซึ่งแสดงถึงศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศไทย ทั้งยังเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ในสมัยโบราณที่พระมหากษัตริย์ของไทยในอดีต ทรงโปรดปรานและจัดให้มีการแข่งขันหน้าพระที่นั่งอีกด้วย
การเล่นว่าวในประเทศไทย มีมาตั้งแต่กรุงสุโขทัย(พ.ศ.๑๗๘๑-๑๙๘๑) คือสมัยของพ่อกรุงศรีอินทราทิตย์ (หรือพระร่วง) ว่าวที่รู้จักกันมาก ได้แก่ "ว่าวหง่าว" หรือ”ว่าวดุ๋ยดุ่ย” ซึ่งจะใช้ชักขึ้นในพิธี "แคลง" ทุกหนทุกแห่ง เป็นความเชื่อของประชาชนในสมัยนั้นว่าเพื่อเป็นการเรียกลมหรือความโชคดีให้เกิดขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า "ว่าวหง่าว" เป็นว่าวที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑๐) คำว่า “ว่าวจุฬา" ปรากฏชื่อขึ้นในสมัยนี้ และยังสามารถช่วยในการรบได้ชนะ กล่าวคือ ได้นำว่าวจุฬาขึ้นและผูกหม้อกระสุนดินดำโดยใช้ชนวนถ่วงเวลาและชักให้ข้ามไปในแดนของฝ่ายตรงข้าม ทำให้เกิดระเบิดไฟไหม้ขึ้น ทหารฝ่ายอยุธยาก็เข้าเมืองได้
สมัยแผ่นดินของพระพุทธเจ้าเสือซึ่งโปรดการชกมวยแล้วยังโปรดการเล่นว่าวและคว้าจุฬาปักเป้ากับ ข้าราชบริพารเสมอๆ คำว่า "ว่าวปักเป้า" จึงเป็นว่าวอีกชนิดหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในสมัยนี้และเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายตั้งแต่นั้นมา
สมัยรัตนโกสินทร์ ในราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการแข่งขันว่าวจุฬา-ปักเป้ามาก จัดการแข่งขันกลางแจ้ง (ท้องสนามหลวงในปัจจุบัน) เป็นที่สนุกสนานเมื่อเวลาที่ว่าวสายใดชนะพระองค์ ก็ทรงโปรดพระราชทานถ้วยรางวัลให้การแข่งขันเริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมา โดยพระองค์เสด็จเป็นองค์ประธานในการแข่งขันเป็นประจำทุกปี จนสิ้นรัชสมัยของพระองค์ ฉะนั้นจึงจัดได้ว่าว่าวจุฬา-ปักเป้า เป็นว่าวเอกลักษณ์ของชาติไทยชาติเดียวเท่านั้นที่สามารถนำมาเล่นใช้ต่อสู้กันได้
ในปัจจุบันได้จัดการแข่งขันว่าว "จุฬา-ปักเป้า" ขึ้นเป็นประเพณีของกีฬาไทย โดยใช้ชื่อว่า "งานประเพณีกีฬาไทย" ที่ท้องสนามหลวง ซึ่งจัดการแข่งขันกีฬาของไทย อาทิเช่น ตะกร้อ กระบี่กระบอง หมากรุก และที่สำคัญคือ การแข่งขันว่าวจุฬา-ปักเป้า ซึ่งงานนี้จัดโดยสมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และยังได้รับความร่วมมือจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หน่วยงานของภาครัฐบาลและเอกชนอื่นๆ ร่วมกันอีกด้วย

อาวุธของว่าวที่ใช้ในการแข่งขัน
ว่าวจุฬา จะมีอาวุธติดตัวอยู่ตรงสายว่าว เรียกว่า
"จำปา" ใช้สำหรับเกี่ยวเหนียงและหางของว่าวปักเป้า ทำให้ว่าวปักเป้าเสียหางหรือเหนียงเข้าเครื่อง
ว่าวปักเป้า อาวุธของว่าวปักเป้าที่ใช้ในการต่อสู้กับว่าวจุฬา เรียกว่า "เหนียง" ซึ่งประกอบด้วยสายทุ้งและสายยืน สายทุ้งจะยาวกว่าสายยืนเล็กน้อย แต่ก็ใหญ่พอที่จะครอบว่าวจุฬาได้ ซึ่งทำให้ว่าวจุฬาเสียการทรงตัวและตกลงในที่สุด
เชือกที่ใช้ในการเล่นว่าว เราเรียกเชือกชนิดนี้ว่า "ป่าน" เป็นเชือกที่สามารถบังคับว่าวได้ง่าย เมื่อเรากระตุกว่าวแต่ละครั้งแรงจะส่งถึงตัวว่าวได้ทันที แต่ถ้าเป็นเชือกไนล่อนจะยืด แรงที่กระตุกจะส่งไปถึงตัวว่าวภายหลัง ทำให้ว่าวอืด ช้า ไม่ทันกาล ผู้จับจะบังคับว่าวไม่ได้รวดเร็วในขณะที่ทำการต่อสู้ เทคนิคการทำให้ป่านมีความเหนียวและยืดหยุ่นดี สะดวกในการกระตุกและบังคับว่าวได้ดังใจของผู้ชักก็คือ การกวดป่าน
ว่าวจุฬาที่ใช้ในการแข่งขันในปัจจุบัน จะมีขนาดอกตั้งแต่ ๘๐ นิ้วขึ้นไป ส่วนว่าวปักเป้าที่ใช้แข่งขัน จะมีขนาดอก ๓๔ ๑/๒ นิ้ว
ว่าวที่ใช้ในการแข่งขัน มักจะทำว่าวให้มีความแตกต่างกัน ๓ ชนิด เพื่อจะได้เลือกใช้ตามสภาพอากาศ ๑. ว่าวชนิดแข็ง คือ การเหลาโครงว่าวให้ค่อนข้างแข็งที่จะทนต่อแรงลมได้ดี ในวันแข่งที่มีลมแรง แต่ถ้านำมาใช้ในสภาพลมอ่อน จะทำให้ว่าวหนักและตกลงมาได้ง่าย

๒. ว่าวชนิดกลาง คือ การเหลาโครงว่าวไม่แข็งจนเกินไป ไม่อ่อนจนเกินไป ใช้ในวันที่สภาพลมแรงปานกลาง ๓. ว่าวชนิดอ่อน คือ การเหลาโครงว่าวให้อ่อนกว่าว่าวชนิดกลางลงมาอีก เพื่อใช้ให้กับสภาพลมอ่อน ช่วยให้ว่าวขึ้นได้ง่ายในสภาพลมอ่อน

ฉะนั้นในการแข่งขันว่าวแต่ละครั้ง สายว่าวที่ใช้ในการแข่งขันจะต้องเตรียมว่าวมาให้ครบทั้ง ๓ ชนิด เพื่อสะดวกในการชักให้ขึ้น และบังคับว่าวให้ได้ดีตามสภาพอากาศ ว่าวแต่ละชนิดจะมีกี่ตัวก็ได้ ในการแข่งขันไม่จำกัดจำนวน ยิ่งสายว่าวของใครมีว่าวมากก็ยิ่งดี ก็ยิ่งได้เปรียบคู่ต่อสู้ เพราะในการแข่งขันจะมีว่าวหักบ้าง ฉีกขาดบ้าง
ในการแข่งขันว่าวจุฬา-ปักเป้า แต่ละปี ผู้แข่งขันทุกท่านได้ตระหนักและซาบซึ้งคำว่า "กีฬา" และคำที่ว่า "น้ำใจของนักกีฬา" อย่างถูกต้องแล้ว ภาพพจน์ที่ได้จะมีคุณค่าและนำความภาคภูมิใจมาสู่บรรพบุรุษของเราในอดีตและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่กาอนุรักษ์ไว้เป็นกีฬาของไทยประจำชาติเราต่อไป ฉะนั้นพวกเราซึ่งเป็นลูกหลานสืบทอดกันมา ควรอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย อันเป็นมรดกที่มีคุณค่าให้คงอยู่ไว้สืบไป