ผลไม้รูปร่างคล้ายกับไข่ไก่ มีถิ่นกำเนิดมากจากนิวซีเแลนด์อย่างกีวี (Kiwi) กลายเป็นผลไม้ที่ได้รับความสนในเวลา อันรวดเร็ว เนื่องจากคุณค่าทางอาหารของกีวีที่บรรจุอยู่เต็มเปี่ยมในผลไม้ลูกเล็กๆ
กีวีเป็นไม้เลื้อยลักษณะคล้ายกับต้นองุ่น โดยเปลือกกีวีจะมีเป็นขนฝอย สีน้ำตาล ถึงแม้ว่ากีวีจะมีหลายหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่ที่รู้จักกันดีจะเป็นกีวีสีเขียว ส่วนกีวีทองพบ ได้น้อยแต่รสชาติจะหวานกว่า ซึ่งช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม จะเป็นช่วงที่มีผลกีวีออกวางขายมากที่สุด
ผลกีวีส่วนใหญ่จะนำมาใช้ตกแต่งหน้าเค้ก ค็อกเทล ชีส สลัด หรือในซีเรียล รวมทั้งคั้นเป็นน้ำ ซึ่งภายในรสชาติเปรี้ยว อมหวานของกีวีนั้นจะเต็มไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินดี เกลือแร่ เบต้าแคโรทีน ไฟเบอร์ โพแทสเซียม แมกนีเซียม ทองแดง และฟอสฟอรัส ซึ่งสารอาหารต่างๆ เหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ
1.ป้องกันดีเอนเอถูกทำลายนักวิจัยให้ความสนใจในเรื่องประโยชน์ของกีวีในด้านต่างๆ จากการศึกษาในกลุ่มของเด็กชาวอิตาลีวัย 6-7 ขวบ โดยให้กินกีวีเป็นประจำทุกวัน พบว่าระบบการหายใจทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งแสดงว่ากรดซิทริกในกีวี ทำหน้าที่ป้องกันดีเอนเอ จากส่วนกลางของเซลล์ร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับก๊าซออกซิจน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกีวีประกอบไปด้วยสาร flavonoids และ carotenoids ที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่นักวิจัยกลุ่มนี้ยังไม่ได้ทำการศึกษาแน่ใจว่าส่วนประกอบในกีวี จะทำหน้าที่ ต่อต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกายได้จริงหรือไม่
2.การป้องกันอนุมูลอิสระเนื่องจากในกีวีเต็มไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นตัวละลายสารอนุมูลอิสระขั้นต้นในร่างกาย ทำให้เกิดความเป็นกลางในอนุมูล นั้น โดยอนุมูลจะเข้าไปทำลายเซลล์ร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น การติดเชื้อ โรคมะเร็ง โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหืด ไขมันอุดตันในเส้นเลือด แก้วหูอักเสบ เป็นต้น หากได้รับปริมาณวิตามินซีในจำนวนที่เพียงพอจะ ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกาย ดีขึ้น
โดยวิตามินเอในกีวี มีคุณสมบัติในในการละลายไขมัน ซึ่งวิตามินเอเป็นแหล่งอาหารของเบต้าแคโรทีน เมื่อเข้าไปรวม กับไขมัน และน้ำในร่างกาย ทำให้สามารถละลายพิษจากอนุมูลอิสระต้นเหตุของการเกิดโรคดังที่กล่าวข้างต้นได้
3.ควบคุมน้ำตาลในเลือดและระบบขับถ่ายด้วยไฟเบอร์ไฟเบอร์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในกีวี นักวิจัยพบว่าไฟเบอร์ในอาหารโดยเฉพาะในกีวี สามารถป้องกันระดับ คอลเลสเตอรอลในเลือดได้ ซึ่งจะลดปัญหาความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหัวใจล้มเหลว โดยไฟเบอร์จะเข้าไปจับพิษ ให้ออกไปจากลำไส้ใหญ่พร้อมกับอุจจาระ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่ อีกทั้งไฟเบอร์ยังเป็นตัวช่วย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ในกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย
4.ป้องกันจากโรคหืดอาหารที่เต็มไปด้วยวิตามินซี มีคุณสมบัติสำคัญในการป้องกันผลกระทบ จากอาการระบบหายใจผิดปกติ โดยเฉพาะ โรคหอบหืด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหายใจโดยตรง
จากรายงานการวิจัยเมื่อเดือนเมษายน 2004 ของ Thorax ในกลุ่มเด็กอายุ 6-7 ปี จำนวน 18,737 คน ซึ่งบริโภคผลไม้ ที่มีกรดซิทริกคือกีวี ประมาณ 5-7 ลูก/สัปดาห์ พบกว่าเด็กกลุ่มนี้มีอัตราการหายใจติดขัดลดลง 44% อาการไอเรื้อรังลดลง 25% และอาการน้ำมูกไหลลดลง 28% เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่กินน้อยกว่า 1-2 ลูก/สัปดาห์
5.ป้องสายตาฝ้าฟางจากรายงานการวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2004 ของ Opthamology เป็นการศึกษาในกลุ่มผู้หญิง 77,562 คน และผู้ชาย 40,866 คน โดยให้กินกีวี 3 ลูก/วัน พบว่าอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสายตาฝ้าฟางที่มักจะเกิดในผู้สูงอายุ ลดน้อยลงประมาณ 36% เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่กินวันละ 1.5 ลูก แสดงว่าสารอาหารอย่างวิตาเอ วิตามินซี วิตามิเอ และแคโรทีน ที่อยู่ภายในกีวีมีผลต่อระบบการทำงานของสายตา ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีปัญหาการสายตา
6.ป้องกันโลหิตจางเอร็ดอร่อยกับรสชาติของกีวีวันละ 2 ลูก ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวเป็นก้อนลิ่มเลือดและลดไขมันในเลือด เป็นทางเลือก ที่เหมาะสำหรับคนที่มีเลือดจางที่ต้องใช้ ยาลดไข้หรือแอสไพริน เนื่องจากในตัวยานี้สามารถทำให้เกิดอาการติดเชื้อ แผลอักเสบ และเลือดออกในระบบลำไส้ได้
โดยการศึกษาในกลุ่มคนที่กินกีวีวันละ 2-3 ลูกเป็นเวลา 28 วัน พบว่า การตอบสนองในการรวมตัวของเกล็ดเลือดลดลง 15% เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้กินกีวี แสดงว่าสารอาหารอย่างแมงกานีส โพแทสเซียม และทองแดง ในกีวีทำให้ระบบ การทำงานของร่างกายเป็นปกติและป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
หากไม่ยากเกินไปลองหากีวีมาทานวันละ 2-3 ลูก น่าจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงได้ไม่ยาก แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องปัจจัย ในกระเป๋า เพราะราคาของผลกีวีสดในประเทศไทยที่ยังแพงอยู่ ซึ่งยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือน้ำกีวีบรรจุกล่อง โดยให้สารอาหาร ใกล้เคียงกับผลสดและหาซื้อได้ง่ายตามซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป
กีวีเป็นไม้เลื้อยลักษณะคล้ายกับต้นองุ่น โดยเปลือกกีวีจะมีเป็นขนฝอย สีน้ำตาล ถึงแม้ว่ากีวีจะมีหลายหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่ที่รู้จักกันดีจะเป็นกีวีสีเขียว ส่วนกีวีทองพบ ได้น้อยแต่รสชาติจะหวานกว่า ซึ่งช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม จะเป็นช่วงที่มีผลกีวีออกวางขายมากที่สุด
ผลกีวีส่วนใหญ่จะนำมาใช้ตกแต่งหน้าเค้ก ค็อกเทล ชีส สลัด หรือในซีเรียล รวมทั้งคั้นเป็นน้ำ ซึ่งภายในรสชาติเปรี้ยว อมหวานของกีวีนั้นจะเต็มไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินดี เกลือแร่ เบต้าแคโรทีน ไฟเบอร์ โพแทสเซียม แมกนีเซียม ทองแดง และฟอสฟอรัส ซึ่งสารอาหารต่างๆ เหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ
1.ป้องกันดีเอนเอถูกทำลายนักวิจัยให้ความสนใจในเรื่องประโยชน์ของกีวีในด้านต่างๆ จากการศึกษาในกลุ่มของเด็กชาวอิตาลีวัย 6-7 ขวบ โดยให้กินกีวีเป็นประจำทุกวัน พบว่าระบบการหายใจทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งแสดงว่ากรดซิทริกในกีวี ทำหน้าที่ป้องกันดีเอนเอ จากส่วนกลางของเซลล์ร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับก๊าซออกซิจน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกีวีประกอบไปด้วยสาร flavonoids และ carotenoids ที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่นักวิจัยกลุ่มนี้ยังไม่ได้ทำการศึกษาแน่ใจว่าส่วนประกอบในกีวี จะทำหน้าที่ ต่อต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกายได้จริงหรือไม่
2.การป้องกันอนุมูลอิสระเนื่องจากในกีวีเต็มไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นตัวละลายสารอนุมูลอิสระขั้นต้นในร่างกาย ทำให้เกิดความเป็นกลางในอนุมูล นั้น โดยอนุมูลจะเข้าไปทำลายเซลล์ร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น การติดเชื้อ โรคมะเร็ง โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหืด ไขมันอุดตันในเส้นเลือด แก้วหูอักเสบ เป็นต้น หากได้รับปริมาณวิตามินซีในจำนวนที่เพียงพอจะ ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกาย ดีขึ้น
โดยวิตามินเอในกีวี มีคุณสมบัติในในการละลายไขมัน ซึ่งวิตามินเอเป็นแหล่งอาหารของเบต้าแคโรทีน เมื่อเข้าไปรวม กับไขมัน และน้ำในร่างกาย ทำให้สามารถละลายพิษจากอนุมูลอิสระต้นเหตุของการเกิดโรคดังที่กล่าวข้างต้นได้
3.ควบคุมน้ำตาลในเลือดและระบบขับถ่ายด้วยไฟเบอร์ไฟเบอร์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในกีวี นักวิจัยพบว่าไฟเบอร์ในอาหารโดยเฉพาะในกีวี สามารถป้องกันระดับ คอลเลสเตอรอลในเลือดได้ ซึ่งจะลดปัญหาความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหัวใจล้มเหลว โดยไฟเบอร์จะเข้าไปจับพิษ ให้ออกไปจากลำไส้ใหญ่พร้อมกับอุจจาระ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่ อีกทั้งไฟเบอร์ยังเป็นตัวช่วย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ในกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย
4.ป้องกันจากโรคหืดอาหารที่เต็มไปด้วยวิตามินซี มีคุณสมบัติสำคัญในการป้องกันผลกระทบ จากอาการระบบหายใจผิดปกติ โดยเฉพาะ โรคหอบหืด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหายใจโดยตรง
จากรายงานการวิจัยเมื่อเดือนเมษายน 2004 ของ Thorax ในกลุ่มเด็กอายุ 6-7 ปี จำนวน 18,737 คน ซึ่งบริโภคผลไม้ ที่มีกรดซิทริกคือกีวี ประมาณ 5-7 ลูก/สัปดาห์ พบกว่าเด็กกลุ่มนี้มีอัตราการหายใจติดขัดลดลง 44% อาการไอเรื้อรังลดลง 25% และอาการน้ำมูกไหลลดลง 28% เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่กินน้อยกว่า 1-2 ลูก/สัปดาห์
5.ป้องสายตาฝ้าฟางจากรายงานการวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2004 ของ Opthamology เป็นการศึกษาในกลุ่มผู้หญิง 77,562 คน และผู้ชาย 40,866 คน โดยให้กินกีวี 3 ลูก/วัน พบว่าอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสายตาฝ้าฟางที่มักจะเกิดในผู้สูงอายุ ลดน้อยลงประมาณ 36% เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่กินวันละ 1.5 ลูก แสดงว่าสารอาหารอย่างวิตาเอ วิตามินซี วิตามิเอ และแคโรทีน ที่อยู่ภายในกีวีมีผลต่อระบบการทำงานของสายตา ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีปัญหาการสายตา
6.ป้องกันโลหิตจางเอร็ดอร่อยกับรสชาติของกีวีวันละ 2 ลูก ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวเป็นก้อนลิ่มเลือดและลดไขมันในเลือด เป็นทางเลือก ที่เหมาะสำหรับคนที่มีเลือดจางที่ต้องใช้ ยาลดไข้หรือแอสไพริน เนื่องจากในตัวยานี้สามารถทำให้เกิดอาการติดเชื้อ แผลอักเสบ และเลือดออกในระบบลำไส้ได้
โดยการศึกษาในกลุ่มคนที่กินกีวีวันละ 2-3 ลูกเป็นเวลา 28 วัน พบว่า การตอบสนองในการรวมตัวของเกล็ดเลือดลดลง 15% เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้กินกีวี แสดงว่าสารอาหารอย่างแมงกานีส โพแทสเซียม และทองแดง ในกีวีทำให้ระบบ การทำงานของร่างกายเป็นปกติและป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
หากไม่ยากเกินไปลองหากีวีมาทานวันละ 2-3 ลูก น่าจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงได้ไม่ยาก แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องปัจจัย ในกระเป๋า เพราะราคาของผลกีวีสดในประเทศไทยที่ยังแพงอยู่ ซึ่งยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือน้ำกีวีบรรจุกล่อง โดยให้สารอาหาร ใกล้เคียงกับผลสดและหาซื้อได้ง่ายตามซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น